ประสบการณ์การพัฒนาทักษะการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพของข้าพเจ้า


สมัยที่ดิฉันเรียนมัธยมต้น ดิฉันมีการเรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เนื่องจากไม่ค่อยได้เอาใจใส่เท่าไหร่ ในส่วนของภาษาอังกฤษนั้น ตัวดิฉันในตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนเรียนภาษาอังกฤษได้ดีมาโดยตลอดเพราะ ดิฉันเป็นคนที่กล้าพูดกับชาวต่างชาติ พูดผิดพูดถูกก็จะพูด ในขณะที่เพื่อนในชั้นไม่ค่อยพูด ทำให้คิดไปเองตลอดว่า เรียนภาษาอังกฤษได้ดี เพราะคำตอบที่นักเรียนตอบกับคุณครู เวลาที่คุณครูถามว่าเรียนภาษาอังกฤษไปทำไม ก็คือ “ใช้ในชีวิตประจำวัน” ในเมื่อดิฉันสามารถใช้สื่อสารได้แล้ว ดิฉันก็น่าจะเรียนภาษาอังกฤษได้ดีแล้ว แต่จริงๆแล้ว ภาษาอังกฤษของดิฉันอยู่ในระดับที่อ่อนมาก ขนาดที่ว่า ตอนที่ดิฉันอยู่ ม.3 ดิฉันไม่รู้ว่า he/she/it ต้องตามด้วยกริยาเอกพจน์ เป็นต้น

               

เกรดวิชาภาษาอังกฤษเฉลี่ยในขณะนั้นคือ 3.62

                พอขึ้น ม.ปลายเริ่มสนใจเรียนมากขึ้น เริ่มเข้าใจว่าภาษาอังกฤษไม่ได้มีไว้แค่ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น และในการสอบภาษาอังกฤษครั้งแรกของการขึ้น ม.ปลายก็คือ เกือบตก ซึ่งก็สมควรแล้วสำหรับคนไม่มีพื้นฐานเลย แต่ ณ เวลานั้น ดิฉันรู้สึกตกใจมาก จึงไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษหลายที่มาก ซึ่งแต่ละที่ก็มีจุดดีแตกต่างกันไป แต่สำหรับเรื่อง Grammar ดิฉันชอบการสอนแบบ tree tactics และ strategic structure ของ enconcept เพราะทำให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของ Grammar ได้ง่ายขึ้น

 

ตัวอย่างหนังสือที่ใช้เรียน

                หลังจากนั้นภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าก็ดีขึ้นตามลำดับโดยเกรดเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษเมื่อเรียนจบชั้น ม.6 คือ 4.00 แต่การสอบภาษาอังกฤษเพื่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ใช่แค่รู้ Grammar ก็ทำได้ ในตอนนั้นดิฉันทำข้อสอบEntrance ย้อนหลังของวิชาภาษาอังกฤษแล้วพบว่า ดิฉันยังทำคะแนนใน part Error ทำให้ดิฉันรู้สึกหนักใจมากและจะใช้วิธีเรียนพิเศษอีกครั้ง แต่ตอนนั้น อาจารย์ที่สอนพิเศษไม่ว่างสอนให้แต่แนะนำให้ซื้อหนังสือ Error Identification มาทำซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็มีหลักสำคัญๆในการทำ Error และข้อสอบ Error ประมาณ 100-200 ข้อในตอนแรกๆก็ทำคะแนนได้ 6-7 คะแนน จนในชุดท้ายๆ ก็ทำได้ดีขึ้น นอกจากนี้ดิฉันก็หาหนังสือ sentence completion มาทำด้วย และในการสอบ ONET ปี 52 ดิฉันทำคะแนนในวิชาภาษาอังกฤษได้ 77 คะแนน

 

เกรดเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษ ม.ปลายคือ 4.00

 ผลสอบโอเน็ต

หลังจากการพัฒนา Grammar ของตัวเอง ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดหลายๆอย่างคือ 1.การเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้องเรียนจากครูสอนพิเศษ และ 2.ถ้าเราตั้งใจทำแล้ว ไม่ว่าอะไรเราก็ต้องทำได้

                อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ยังตระหนักอยู่ว่า ภาษาอังกฤษของดิฉัน ไม่ได้ดีเลิศมากมาย แต่ดิฉันก็ภูมิใจที่พัฒนาตัวเองมาได้ถึงระดับนี้ อย่างน้อยตอนนี้ดิฉันก็รู้ว่า he/she/it กริยาตามหลังเป็นเอกพจน์(ฮา....) จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางและเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษค่ะ....สู้ๆ =]

เอกสารอ้างอิง

1.นเรศ สุรสิทธิ์,ผศ: พิชิตข้อสอบ COMPLETION

2.นพดล อังคนุพงศ์: Error Identification Skill For O-ner A-net เทคนิคพิชิตข้อสอบภาษาอังกฤษภาคจับผิด: สำนักพิมพ์ SCIENCE CENTER

3.ข้อสอบ ONET วิชาภาษาอังกฤษปี 53 - http://www.niets.or.th/upload-files/uploadfile/5/e6edebfe1ea4501d92eb5ee39d723346.pdf

หมายเหตุ

หลังจากจบชั้น ม.6 ผู้เขียนเปลี่ยนชื่อจากกชกร เป็น ณพิชญา

บันทึกวันที่ 7/6/2553

คำสำคัญ (Tags): #พัฒนาตัวเอง
หมายเลขบันทึก: 364632เขียนเมื่อ 7 มิถุนายน 2010 09:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นตัวอย่างในการพัฒนาความรู้ทางภาษาอังกฤษได้ดีจริงๆเลยครับ

ธิดาภรณ์ เปล่งอุดมกิจ

เป็นการพัฒนาความรู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ

เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษเอามากๆเลย

นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับนำไปปฏิบัติตามเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท