สังคมไทยขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้นำ (Elite) ชนชั้นนำ มีบทบาทในการปกครอง และบริหารประเทศ ได้แก่ นักการเมือง ทหาร ข้าราชการศักดินาสูงๆ ความเชื่อถือในตัวผู้นำ ทำให้เกิดการยอมรับ จากผู้ตามเหมือนที่ประชาชนรากหญ้าศรัทธาในตัวทักษิณ แต่ในสังคมไทยเป็นพหุสังคม ผู้ตามไม่ได้มีแค่ประชาชนคนเดินดินทำไร่ไถนา หาเช้ากินค่ำเท่านั้น เราๆ ท่านๆที่ได้รับความรู้ มีการศึกษากลับ เห็นต่าง ขาดความเชื่อถือในตัวผู้นำอย่างทักษิณ และพึงใจที่จะ มีความไว้วางใจให้กับ นักการเมืองหนุ่ม สายประชาธิปัตย์ อย่างอภิสิทธิ์
บทบาทการนำของกลุ่มผู้นำทุกยุค (ภายใต้การฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกสมัย ) ถูกต่อต้านหรือคัดค้าน จากกลุ่มประชาชน ที่พอจะเรียกได้ว่า “ปัญญาชน” วัฏจักรของการเมืองบ้านเราจึง หนีไม่พ้น ประชาชนเลือกตั้ง นักการเมืองเข้าไปโกงกิน (ผ่านกระบวนการทำงานของข้าราชการ ) ปัญญาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน และท้ายที่สุดทหารลุกขึ้นมาทำรัฐประหาร …
.โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง…
.ภาพเดิมฉายซ้ำวนไปมา …และกำลังจะวกกลับมา อีกไม่ช้านี้ ? …..
…ประเทศไทยขาดบุคลากรทางการเมืองที่ดี ที่พร้อมจะทำงานและเสียสละเพื่อคนอื่น นักการเมืองไทยเลวเข้าไส้ บุคคลที่ถืออาสา มาเป็นนักการเมือง ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ไม่มีใครหน้าไหนไม่โกงชาติกินเมืองบ้าง ด้วยสภาพสังคมไทย (พ่อปกครองลูก-สมบูรณาญาสิทธิราช) ผู้คนอยู่อาศัยกันด้วยระบบอุปถัมภ์ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน และก่อร่างสร้าง กลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าอำนาจที่กระจัดกระจายในแต่ละกลุ่มผลประโยชน์ ใช้ทำประโยชน์แก่สังคมคนหมู่มาก ก็จะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เอาพลังจากคณะ พรรคพวก หาประโยชน์เพื่อตนเอง ก็จะพบกับปัญหาตามมาเหมือนที่เป็นอยู่
……..วันนี้ เราจึงเห็นตัวแทน ของแต่ละฝ่ายที่ผูกกันด้วยความสัมพันธ์ ต่างแบบกัน ทหารกับหน้าที่ความรับผิดชอบ นปช.-? นาย-ลูกน้อง ที่เป็น หมากในเกม ของ ผู้นำ (Elite) (ต้องระบุมั้ยว่าใครกับใคร) ออกมาต่อสู้ ห้ำหั่นกัน ด้วยกลยุทธ์ ชั้นเชิง แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของคนไทยอีกนับหลาย (การตายเพื่อประชาธิปไตย ถือเป็นวีรบุรุษ แต่ตายเพื่อใครคนใด นั้น ถือว่าตายเปล่า…เหมือหมูหมาตัวนึง ) มันก็คือเกมที่ต้องเดิน โดยมีจุดหมาย คือ อำนาจ ฝ่ายหนึ่งต้องรักษาอำนาจ…ฝ่ายหนึ่งต้องการอำนาจ(คืน)……
อยากให้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ….ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในไทย … เพียงแต่ รูปแบบมีความหลากลายและรุนแรงขึ้น เราๆ ท่านๆ ก็อย่าหลงไปกับสิ่งยั่วยุ เชื้อเชิญ ตกไปเป็นหมาก ในเกมของ คนเหล่านั้น เข้าใจว่า ณ จุดนี้ต้องเลือกข้าง ……..เมื่อเลือกข้างแล้วก็ แสดงออกตามกำลัง วางใจให้นิ่ง และมองว่าสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วย่อมมีดับลง ….เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ เราสามารถตั้งเวลาใหม่ได้ …………….สังคมไทยยังคงต้องขับเคลื่อนด้วยผู้นำ
เขียนไว้ : อันเนื่องมาจาการสลายการชุมนุม แยกราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553
ภายหลังการเข้ามอบตัวของ แกนนำ เกิดการจลาจล อย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ร่วมชุมนุม จุดไฟเผา สถานที่สำคัญหลายแห่ง นับจากวันนี้ไป ประเทศไทย ก็ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
แก้ไขเพิ่มเติม : วันพืชมงคล ปี 2560 เนื้อหารุนแรงเหลือเกิน ไปหน่อย
ในปี 2560 มีรัฐบาลทหาร คสช. เข้ามาบริหารประเทศ
ประเทศไทยวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากวันนั้น
ไปหาทานกับข้าวๆ อร่อยๆ ดีกว่านะครับ..
เมื่อเช้าวานนี้ (20 พ.ค. 53) หลังจากเหตุการณ์คลี่คลายและเผาย่านราชประสงค์เสียหายแล้ว
มีกลุ่มเสื้อแดงที่มาชุมนุมยังตกค้างอยู่ที่วัดปทุมวนาราม ประมาณ 3,000 คน ส่วนใหญ่เป็นคนอิสานและชาวเหนือ
ปัญหาคือ กลับบ้านไม่ถูก ส่วนมากบอกว่าต้องรอผู้แทน (ส.ส.) มารับกลับ เพราะ ส.ส. ในพื้นที่เป็นผู้พามา และไม่พกบัตรประชาชน
จำนวนคนถึง 3,000 คน มาชุมนุมกันที่กรุงเทพนับได้ว่าเป็นคนจำนวนมากพอ
เป็นตัวชี้วัดอะไรได้หลายๆอย่างว่าไม่ได้ศรัทธามาเอง
กลับมาได้....คงต้องใช้เวลาเยียวยาน่ะค่ะ แต่จะนานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนไทยทุกคนว่าเข้มแข็งและมั่นคงมากพอหรือเปล่า...
ยามนี้ กำลังใจ และรอยยิ้ม สำคัญกว่าสิ่งใด แต่คนส่วนใหญ่ มองว่า เงินและอำนาจ คือสิ่งที่ต้องกอบโกย
คิดต่างกัน มองต่างมุม ก็แล้วแต่สำนึก และวิถีทางชีวิตของแต่ละคน ที่สำคัญ
พื้นฐานของคำว่า "สามัญสำนึก" และ "ละอาย" บางคนยังสะกดไม่เป็นด้วยซ้ำไป
แต่ยังไงๆเราคนไทยเสื้อสีอะไร ก็ยังเป็นเลือดไทยเหมือนกัน รักกันไว้มากๆดีกว่า...
ขอบคุณบันทึกดีๆค่ะ เพื่อให้คนไทยได้เกิดสำนึกรักแผ่นดินไทยบ้าง...
กำลังใจสำคัญมาก
ขอบคุณครับ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น