กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...


ฮือ ๆ เจ้าต๊อกอย่าตายนะ เจ้าต๊อกลืมตาสิ เจ้าจะตายไม่ได้นะเจ้าต็อก"เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั่วป่า....

      เรื่องที่จะเขียนในวันนี้ เป็นเรื่องราวเมื่อผมนั้นยังเป็นเด็กถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผมมีอายุได้ 6 ขวบ หากท่านผู้อ่านท่านใดมีความคิดเห็นมาเสนอแนะก็เชิญได้เลยนะครับ

เอาละเรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ

      ย้อนอดีตไปเมื่อ 22 ปีก่อน ณ กระท่อมกลางป่าข้าวโพดอันห่างไกลจากความเจริญยามค่ำคืนช่างเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดส่งเสียงระงมแข่งกัน รอบ ๆ กระท่อมเป็นป่าข้าวโพด ใบข้าวโพดเขียวเข้มลู่ตามลมยามค่ำคืนที่พัดมา จันทร์ครึ่งเสี้ยวส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้าสีดำสนิทมืดมนไร้ดวงดาว

 

Hut

         มองไปในกระท่อมมีเพียงแสงตะเกียงเลือนรางส่องแสงอ่อนๆพอให้เห็นเพียงใบหน้าของพ่อและแม่ เพียงสลัว ๆ สีหน้าของทั้ง 2 ท่านบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาทั้งวัน ตอนนั้นเวลาประมาณ ทุ่มกว่า ๆ เป็นเวลาอาหารเย็นซึ่งกับข้าววันนั้นมีเพียง ไข่ต้มและย่างปลาจิ๊กโก๋ หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อมักจะไปนั่งดูดยาเส้นใกล้ ๆ บรรใดที่ใช้ลงจากกระท่อม ซึ่งบรรใดก็ไม่สูงหรอกครับมีแค่ 3 ขั้นส่วนแม่ก็ไปจัดเก็บสำรับอาหาร ซึ่งวันนั้นผมสังเกตุเห็นว่าหน้าตาพ่อ แสดงออกถึงความเครียด ผมเลยเข้าไปถามท่านว่า "พ่อเป็นอะไรครับ เหนื่อยจากงานเหรอครับ" พ่อหันมาหาผมแล้วตอบว่า "ไม่ใช่หรอกพ่อเป็นห่วงเรื่องฝนนะ ตอนนี้ข้าวโพดของเรากำลังจะแย่ถ้าฝนไม่ตก" แล้วพ่อก็พูดอีกว่า

"ได้เวลานอนแล้วนะ ไปเข้านอนได้แล้ว" "ครับ" ผมตอบ

Hut2

       เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียว พ่อกับแม่คงออกไปทำไร่ข้าวโพดแล้ว มีเพียงสำรับกับข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้ อาหารเช้าวันนี้คือ หมกอี่ปุ่ม เป็นลูกอ๊อดชนิดหนึ่ง ที่มีขนาดตัวใหญ่กว่าลูกอ๊อดทั่วไป หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็มาทานอาหารแล้วก็กะว่าจะไปหา "เจ้าต๊อก" เจ้าต๊อกเป็นไก่ป่าที่พ่อเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ตัวเล็ก ๆและเป็นเพื่อนเล่นตัวเดียวของผม ผมคงจะอยู่ที่กระท่อมคนเดียวไม่ได้หากไม่มีเพื่อนเลยก็ได้เจ้าต๊อกนี่ละครับเป็นเพื่อนคลายเหงาเป็นเพื่อนเล่น เป็นพี่เป็นน้องเลยก็ว่าได้และผมก็รักเจ้าต๊อกมาก พอผมเดินไปหาเจ้าต๊อกที่ข้างกระท่อมบริเวณคอกของเจ้าต๊อกซึ่งทำจากไม้ จะเรียกว่าคอกหรือกล่องก็ได้ครับ เพราะมันไม่ใหญ่มากเป็นกล่องไม้ประมาณ เมตรคูณเมตรเท่านั้นเอง ผมก็ปล่อยเจ้าต๊อก ท่าทางของมันดีใจมากที่เห็นผมมา หลังจากเล่นกันมาทั้งวัน ตอนนั้นก็ประมาณหกโมงเย็นกว่า ๆผมก็คอยไปปีนต้นมะม่วงข้างกระท่อมว่าเมื่อไหร่ พ่อกับแม่จะกลับมา ปรกติท่านจะกลับมาก่อนมืด แต่วันนี้ก็เริ่มมืดแล้วทำไมยังไม่เห็นวี่แววว่าจะได้เห็นคนแหวกป่าข้าวโพดหรือได้ยินเสียงท่านมาเลย ถ้าจะออกไปหาท่านก็กลัวว่าจะหลงทางเพราะป่าข้าวโพดไม่มีถนนให้เดิน อีกอย่างป่าข้าวโพดมีความสูงมากไม่สามารถมองเห็นอะไรเลยเวลาผมมุดเข้าไปและยังมีหญ้าที่รกชัฎขึ้นมาผสมด้วยทำให้ผมไม่กล้าเดินเข้าไป

Corn

        หลังจากที่อยู่บนต้นมะม่วงรอบที่ 4 ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงเหมือนอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในป่าข้าวโพด ผมสะดุ้ง หันกลับไปมองอย่างลุกลี้ลุกลนก็เห็นเพียงแต่ต้นข้าวโพด ที่ดูอึมครึม ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนหันกลับมามองหาพ่อกับแม่เหมือนเดิม พร้อมกับภาวนา ให้ท่านกลับมาเร็ว ๆ

        สักพักหนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมเงาวาบผ่านใต้ต้นมะม่วงไป ผมรีบหันหน้าไปมองก็พบแต่เพียงความว่างเปล่าเช่นเดิม มือสั่นเทาแทบจะเกาะกิ่งมะม่วงไม่ไหว หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก จากนั้นผมหันหลังพยายามจะลงจากต้นมะม่วงแล้วก็มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากป่าข้าวโพดไปหาเจ้าต๊อก ซึ่งยืนอยู่ข้างกระท่อม เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นพุ่งตัวเข้าหาเจ้าต๊อกซึ่งยืนหากินอยู่ข้างกระท่อมโดยหารู้ไม่ว่าชีวิตของตัวเองกำลังอยู่ในอันตราย

        เจ้าต๊อกชะงักกึก แม้ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่มันก็คงรู้สึกได้ว่ามีเขี้ยวอันแหลมคมฝังลงบนคอของมันเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเจ้าสัตว์ตัวนั้นมันก็ลากเจ้าต๊อกเข้าป่าข้าวโพด เหตุการณ์เบื้องล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่มองอย่างตกตะลึง หลังจากได้สติผมสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้าและกำลังกระโจนจากต้นมะม่วงแล้วออกวิ่ง คว้าหินมาหนึ่งก้อน รู้สึกได้ว่ามันกระโจนหนีไปเร็วมาก ผมพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดแล้วผมก็ขว้างหินไปสุดเเรงเกิด "ตุ๊บ" เสียงหินกระทบเจ้าสัตว์ร้าย ร่างของเจ้าต๊อกหลุดจากคมเขี้ยวลงไปกองกับพื้น แล้วเจ้าสัตว์ร้ายก็รีบวิ่งหนีไป ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าต๊อกทรุดตัวนั่งลงไกล้ ๆ กับเจ้าต๊อก ผมอุ้มร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาไว้บนตัก แล้วก็พบว่ามีเลือดไหลออกบริเวณคอของเจ้าต๊อกอย่างมาก เจ้าต๊อกยังไม่ตาย แต่ก็มีลมหายใจที่แผ่วเบา ผมลูบหน้าของเจ้าต๊อกเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นอะไร จากนั้นผมก็อุ้มเจ้าต๊อกกลับมาพอถึงกระท่อมเจ้าต๊อกก็หมดลมหายใจเสียแล้ว ผมรู้ได้ทันทีว่าช่วงเวลาแห่งความสุขหมดลงไปแล้ว "ฮือ ๆ เจ้าต๊อกอย่าตายนะ เจ้าต๊อกลืมตาสิ เจ้าจะตายไม่ได้นะเจ้าต็อก"เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังก้องไปทั่วป่า......น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรากจากดวงใจดวงน้อยของผม จากนี้ไปผมคงไม่มีเพื่อนเล่นอีกแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรหากไม่มีเจ้าต๊อก....    Hen  จบแล้วครับ

        ไม่น่าเชื่อว่าความรักที่เรามีให้แก่กันแม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เป็นความรักที่บริสุทธิ์

แม้เป็นความรักระหว่างคนกับสัตว์ก็ตาม หากโลกนี้เรามอบความรักให้กับทุก ๆ คนที่เรารู้จักได้โลกนี้คงสงบสุข ปราศจากสงคราม หรือการก่อความวุ่นวายต่าง ให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อน วันนี้คุณมอบความรักให้ใครหรือยังครับ.....

คำสำคัญ (Tags): #พรเจริญ5
หมายเลขบันทึก: 360089เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2010 15:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท