อาหารมงคลในงานแต่งแบบไทย


อาหารมงคลในงานแต่งแบบไทย

อาหารมงคลในงานแต่งแบบไทย

 

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

.....

 

          นอกจากความประทับใจจากภาพอันสวยงามแสนหวานของคู่บ่าวสาวแล้ว งานแต่งงานยังเป็นการเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ให้ผูมาร่วมยินดีในงาน ได้อิ่มอร่อยกับอาหารหลากหลายรสชาติและของหวานรสละมุน ที่ทางเจ้าภาพตระเตรียมไว้เลี้ยงอย่างเต็มที่ นับเป็นความประทับใจอีกประการที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้

          การเลี้ยงอาหารในงานวิวาห์นั้น แต่ละท้องถิ่นจะมีความแตกต่างกัน ทั้งเรื่องการจัดวาง การเลือกเมนูอาหาร ทั้งนี้ มักจะสอดคล้องกับวัฒนธรรมและคตินิยมประจำท้องถิ่นนั้น เริ่มตั้งแต่การเรียกงานฉลองแต่งงานนี้ จะมีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละภาค 

          -  ภาคเหนือจะเรียกการ "กินแขก" มีความหมายถึงการเลี้ยงแขก 

           - ภาคอีสานเรียก "กินดอง" หมายถึงการกินเลี้ยงเพื่อเกี่ยวดองเป็นญาติ 

          -  ภาคใต้จะเรียก "กินเนี้ยว" หรือที่เรียกในภาษาถิ่นว่า "มาแกปูโละ" หมายถึงการเลี้ยงฉลองในงานมงคล อาหารในงานแต่งงานจะต้องมีข้าวเหนียว ทานกับกับข้าวต่าง ๆ หรือถ้าทานเป็นของหวานจะโรยน้ำตาลและมะพร้าวขูด เพราะคนท้องถิ่นถือว่าข้าวเหนียวสื่อถึงความรักที่เหนียวแน่นยืนนานระหว่างคู่บ่าวสาวและครอบครัวทั้งสองฝ่าย

          -  ภาคกลาง พิธีมงคลนี้เรียกว่าการ "กินสามถ้วย" หรือ "กินสี่ถ้วย" หมายถึงการเลี้ยงขนมสามอย่างหรื่อสี่อย่าง โดยขนมทั้งสี่อย่างเป็นขนมโบราณแต่ดั้งเดิมของไทย ได้แก่ เม็ดแมงลักน้ำกระทิหรือที่เรียกไข่กบ, สอดช่องน้ำกระทิหรือนกปล่อย, ข้าวตอกน้ำกระทิ หรือนางลอย และข้าวเหนียวน้ำกระทิหรืออ้ายตื้อ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น ได้แก่...

           เม็ดแมงลักน้ำกระทิ มีลักษณะเป็นเม็ดใสจับกันเป็นแพ คล้ายไข่กบ มีความหมายว่า ให้คู่บ่าวสาว มีลูกมีหลานเต็มบ้าน สมบูรณ์พร้อมหน้า ครอบครัวอบอุ่น เปรียบดั่งกบที่ออกไข่ครั้งละมาก ๆ ส่วนน้ำกระทิหมายถึงความหวานชื่น ลอดช่องน้ำกะทิ มีความหมายให้คู่บ่าวสาวมีความรักยืนยาว จะทำการใดก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ตลอด ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ดังลักษณะลื่นไหลของลอดช่องนั่นเอง 

           ข้าวตอกน้ำกะทิ มีความหมาย ให้คู่บ่าวสาวมีความรักที่เบ่งบานเฟื่องฟูเช่นเดียวกับข้าวตอก มีความหวานชื่นเหมือนน้ำกะทิ ขอให้ความรักแบ่งบานสวยงามภายใต้กรอบประเพณีอันดีงาม เช่นเดียวกับข้าวตอกที่ไม่เคยกระเด็นออกนอกที่ครอบเวลาคั่วข้าว 

           ข้าวเหนียวน้ำกะทิ มีความหมายว่า ให้คู่บ่าวสาวนั้นรักกันแน่นเหนียวเหมือนข้าวเหนียวและมีความหวานชื่นเหมือนน้ำกะทิ

 

         นอกจากจะมีความความหมายดีแล้ว ขนมทั้ง 4 ชนิดยังเป็นแหล่งพลังงานสำหรับแขกผู้เหนื่อยล้า จากการเดินทาง เพราะในสมัยก่อนการเดินทางมาร่วมงานมงคลไม่ได้สะดวกสบายดังปัจจุบัน ถือเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง ต่อมาเมื่อการเดินทางสะดวกขึ้น กุศโลบายการเลี้ยงขนมแบบนี้จึงเลิกไป งานแต่งงานจึงมีชื่อเรียกง่าย ๆ อีกอย่างว่า กินเลี้ยงแทน

          นอกจากการกินขนมสามถ้วยหรือสี่ถ้วยแล้ว ในขบวนขันหมากของภาคกลางจะต้องมี "เตียบอาหาร" ที่เน้นอาหารคาวด้วยเช่นกัน เตียบอาหาร ต้องจัดให้มี 3 คู่ขึ้นไป อาหารคาวที่จัดวางในเตียบอาหารได้แก่ ขนมจีบ ขนมจีนน้ำยา และห่อหมก ซึ่งชื่ออาหารล้วนมีความหมายในทางมงคลเช่นกัน 

           ห่อหมก มีความหมายในเชิงให้เจ้าบ่าว-เจ้าสาวนั้น “เออออห่อหมก” กันไปทุกเรื่อง จะได้ไม่ต้องมีเรื่องขัดข้องใจกันนั่นเอง 

           ขนมจีบ ให้คู่แต่งงานรักกันหวานชื่นเหมือนกับช่วงที่จีบกันใหม่ ๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่หวานชื่นที่สุดของความสัมพันธ์ 

           ขนมจีนน้ำยา ถือเป็นอาหารสำคัญในงานแต่งงานตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว โดยเฉพาะขนมจีนที่นำมาใช้จะต้องโรยให้เส้นต่อเนื่องกันและยาวที่สุด เวลาจัดต้องจัดให้สวยงามโดยไม่ตัดให้ขาด เพราะคนโบราณถือว่าเป็นมงคลให้การครองรักยืนยาว เครื่องเคียงของขนมจีนอย่างถั่วงอก ก็ให้ความหมายของความเจริญงอกงาม ถั่วงอกนี้ไม่ใช่แค่ชื่อที่เกี่ยวกับการเติบโตงอกงามเท่านั้น ทางการแพทย์ถือว่า ถั่วงอกมีฮอร์โมนจิบเบอเรลลินช่วยกระตุ้นการเติบโตของต้นไม้ และมีผลต่อการเจริญเติบโตของคนด้วยเช่นกัน หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

          อย่างไรก็ตาม เมื่อมีอาหารมลคล ย่อมต้องมีอาหารต้องห้ามในงานแต่งงาน อาหารที่คนสมัยก่อน จะไม่ยอมให้มีเลย ได้แก่ แกงบวน ต้มยำ ยำผัก  ปลาร้า ปลาเจ่า ตลอดจนแกงร้อนและอาหารชนิดอื่นที่ชื่อและลักษณะไม่เป็นมงคล เช่น หมี่กรอบ มีลักษณะหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้

          ทั้งนี้ อาหารในงานมงคลนี้ ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงว่าคนไทย มีความละเมียดละไมในการใช้ชีวิตเพียงใด เราจึงต้องช่วยรักษาและถ่ายทอดสิ่งนี้ให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ::  
 

 ที่มา 

http://www.kroobannok.com/31827


คำสำคัญ (Tags): #อาหาร
หมายเลขบันทึก: 358991เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2010 19:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 มีนาคม 2012 16:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท