ปัญหาเชิงนิเวศ (Ecological Problems) กับการแก้ไขเชิงพัฒนา
เย็นจิตร ถิ่นขาม[1]
การพัฒนาทางสังคมของมนุษย์ในหลายระดับนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนของทรัพยากรส่วนเกินที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อมนุษย์ จำนวนประชารมนุษย์จะเพิ่มขึ้นได้เพียงเมื่อมีทรัพยากรส่วนเกินอยู่เท่านั้น ตลาด อันหมายถึงโครงสร้างการวางระเบียบทรัพยารและการบริโภคของมนุษย์นั้น เป็นที่ทราบกันในเกือบทุกวัฒนธรรมมนุษย์ว่า ตลาดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์และการเจริญเติบโตทางสังคม แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนเกินที่มาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างทางตลาด ไม่จำเป็นต้องมีปริมาณมากมายที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่ให้มีปริมาณเพียงพอที่จะรองรับความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันเพื่อเป็นการสำรองทรัพยากรส่วนหนึ่งสำหรับรุ่นต่อไปในอนาคต
ระบบที่นำมาใช้สะสมทรัพยากรส่วนเกินในยุคปัจจุบันได้รับการอธิบายโดย Adam Smith ในกระบวนทัศน์ของ “เศรษฐกิจตลาดเสรี” หรือได้รับการกล่าวว่า “เศรษฐกิจแบบสะสมทุน” ในปี พ.ศ. 2319 ในงานเขียนชื่อ “The Wealth of Nations” ว่าได้แก่
“..ความคิดที่บุคคลมีจุดมุ่งหมายเพียงแค่กอบโกยเพื่อตนเอง จะถูกชักจูงโดยมือที่มองไม่เห็นให้ส่งเสริมผลประโยชน์ส่วนร่วม”
ซึ่งนั้นก็คือ การสะสมทุนของปัจเจกชนนำไปสู่การเพิ่มผลประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของปัจเจกชนนั้นยังคงใช้ได้ดีในสบายตาของกลุ่มผู้สนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมแนวใหม่ อย่างไรก็ตามขีดจำกัดของทรัพยากรในโลกไร้พรมแดนได้เปลี่ยนแปลงแนวความคิดที่ว่า เศรษฐกิจแบบสะสมทุนจะทำให้ผลปรโยชน์สาธารณะกลายเป็นสิ่งที่
- คุกคามความอยู่รอดของมนุษย์ชาติส่วนใหญ่ เนื่องจากการสะสมทุนเป็นการป้องกันการกระจายทรัพยากรอย่างเสมอภาคตามความต้องการของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น
- หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดเดิมที่รวมเอาความจำกัดของทรัพยากรเข้ามาในกระบวนทัศน์ของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแล้ว ตลาดเสรีและกระบวนทัศน์ตลาดเสรี จะเป็นปัจจัยข้อจำกัดที่มีผลต่อการนำไปสู่ความยั่งยืน
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าสาเหตุหลักของปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเสื่อมโทรมนั้นมาจาก “โครงสร้างสังคม” ที่การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตเพื่อการบริโภค ทำให้เกิดวัฒนธรรม “บริโภคนิยม” การบริโภคเกินความจำเป็นทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายไป ในขณะที่ไม่มีการสร้างขึ้นมาทดแทน หรือบางส่วนไม่สามารถจะสร้างขึ้นมาทดแทนได้ เช่น แร่ธาตุ น้ำมัน เป็นต้น นอกจากนั้นคนในสังคมก็ไม่ได้อยู่อย่างเอื้ออาทรต่อชีวิตและธรรมชาติเหมือนเดิม เพราะวัฒนธรรมบริโภคนิยม ที่ทำให้ปัจเจกชนต้องเห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนร่วม และเมื่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมโลกที่เป็นระบบที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นปัญหาระบบนิเวศที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจึงเป็นเรื่องต่อเนื่องมาจากความเชื่อมโยงกันดังกล่าว ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เราพบเห็นในประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นผลผลิตที่มาจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย เนื่องจากลักษณะของสังคมอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ
1. โลกอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยถูกครอบงำโดยอุดมการณ์ที่เรียกว่า อุดมการณ์ของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Ideology of economic growth) ซึ่งเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการบริโภค ยิ่งบริโภคเศรษฐกิจยิ่งเจริญ แต่อุดมการณ์นี้กระตุ้นให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือย เพื่อสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่ละคนในสังคมอุตสาหกรรมจะมีปริมาณการใช้ทรัพยากรของโลกมากกว่าแต่ละคนในประเทศกำลังพัฒนา
2. ในการสนองความต้องการทางเศรษฐกิจของโลกอุตสาหกรรม ส่วนหนึ่งจะมีการใช้ทรัพยากรของตนเอง ซึ่งก็ไม่เพียงพอ จำเป็นที่จะต้องดึงเอาทรัพยากรของโลกที่ยากจนมาใช้ด้วยเป็นเพราะโลกตะวันตกนำไปใช้เพื่อรักษาสถานภาพการบริโภคที่สูงของตน และยังมีการใช้อย่างเผาผลาญอีกด้วย เราเรียกว่า การบริโภคแบบยั่งยืนของโลกตะวันตก บนพื้นฐานความไม่ยั่งยืนทางธรรมชาติของโลกกำลังพัฒนา ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจึงมีส่วนสร้างความยากจนให้แก่โลก ขณะเดียวกันก็ไม่มีการสนใจในปัญหาความเสื่อมโทรมทางทรัพยากรธรรมชาติของโลกที่ยากจน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าโลกอุตสาหกรรมยังคงยึดมั่นอุดมการณ์ “ความเจริญเติบโต” และ “บริโภคนิยม” อย่างเหนียวแน่น
3. สังคมอุตสาหกรรมในอดีตที่ผ่านมาไม่นิยมการ recycle ของเสียหรือของใช้แล้ว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน การจำกัดของเสียยังเป็นการลงทุนที่ใช้เงินมากด้วย ในระยะหลัง รัฐบาลเริ่มใช้กระบวนการควบคุมเข้มงวดขึ้นจึงได้มีการตั้งโรงงานของบริษัทจากโลกตะวันตกในประเทศที่กำลังพัฒนามากขึ้น ประเทศเหล่านี้ก็เลยกลายเป็นสวรรค์ของการสร้างมลภาวะ เราเรียกว่า มีการส่งมลภาวะเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญชนิดหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการช่วยให้มลภาวะในโลกที่ยากจนมีแนวโน้มสูงขึ้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเอาเปรียบทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา มีส่วนทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้น รวมทั้งขยายวงจรอุบาทว์อันเริ่มจากความยากจน การศึกษาคุณภาพต่ำ การพัฒนาบุคลากรที่ด้อยประสิทธิภาพ สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรสาธารณะของคนจนเสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ มีการแย่งชิงทรัพยากรจากแต่ละกลุ่มซึ่งเป็นผลจากทัศนคติต่อการบริโภคเลียนแบบตะวันตกที่มาพร้อมกับการพัฒนาที่ยั่งยืน คนจนถูกผลักดันให้อยู่ชายขอบ ด้วยเหตุนี้จึงมีมิติทางมานุษยวิทยาและทางวัฒนธรรมที่ตกอยู่ภายใต้การคืบคลานเข้ามาแบบเชิงรุกของวิธีคิดและทัศนคติของระบบตลาดเสรีในวัฒนธรรมบริโภคนิยมเพื่อทำความเข้าใจปัญหาทางนิเวศที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนแปลง นำมาซึ่งระบบวัฒนธรรมและระบบบุคลิคภาพของคนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งระบบตลาดเสรีนั้นส่งผลในการเปลี่ยนแปลงบทบาทในสังคมและความรับผิดชอบของมนุษยต่อสังคมลดลง ข้อขัดแย้งต่างๆ ในสังคมเกิดขึ้นชัดเจนทุกขณะหากความต้องการของปัจเจกไม่ได้รับการตอบสนองอย่างพอเพียง
ระบบความสัมพันธ์ระหว่างสังคม วัฒนธรรม และบุคคลิกภาพต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม สามารถที่จะอธิบายเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ด้วยการวิเคราะห์ทางนิเวศวิทยาวัฒนธรรม (cultural ecology) ชี้ให้เห็นว่า ในชุมชนดั้งเดิมนั้นมนุษย์และธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นลึกซึ้ง และผูกพันกันมาช้านาน คน พืชพรรณ สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อมในชนบท ล้วนดำรงอยู่อย่างสันติ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเดียวัน อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเดียวกัน และขึ้นอยู่กับวัฎจักรชีวิตเดียวกัน ซึ่งเริ่มจากเกิดแก่เจ็บตายแล้วเกิดใหม่ แต่เมื่อยุคสมัยใหม่เข้ามาเยือนพร้อมๆ กับการขยายตัวของระบบการเงินและการค้า ความสัมพันธ์อย่างเป็นเอกภาพของชีวิต ทุกสิ่งที่กล่าวมานั้นถูกสั่นคลอนลงอย่างน่าวิตก กฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรมที่ควบคุมการอนุรักษ์ธรรมชาติใช้การไม่ได้ ความต้องการเงินตราและการแสวงหากำไร กระตุ้นให้มีการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้นทุกทีๆ การล่มสลายของวัฒนธรรมนำไปสู่การล่มสลายของธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากจะสรุปความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างสังคม วัฒนธรรม และบุคคลิกภาพกับปัญหาเชิงนิเวศและสิ่งแวดล้อม สามารถที่จะสรุปได้ดังแผนภาพ
จากภาพอธิบายได้ว่าปัญหาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นภายใต้ความเชื่อมโยงของระบบการผลิตแบบทุนนิยมที่เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีขึ้นสูง ซึ่งโครงสร้างสังคมแบบนี้ทำให้เกิดวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่เป็นอันตรายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง เพราะมีการบริโภคที่เกินความจำเป็นจนต้องเบียดบังทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ทั้งนี้มนุษย์ภายใต้สังคมและวัฒนธรรมดังกล่าวก็จะกลายเป็นผู้มีบุคคลิกภาพของการแข่งขันการเอารัดเอาเปรียบ และการแย่งชิงทรัพยากร ขาดการตระหนักถึงความมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมทั้งต่อรุ่นตนเองและคนรุ่นอนาคต
แนวคิดด้านสังคม วัฒนธรรมและบุคลิกภาพในการแก้ไขระบบนิเวศ
เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมวัฒนธรรมที่หลากหลาย วัฒนธรรมควรเป็นเป้าหมายของการพัฒนามากกว่าคนเฉยๆ เพราะกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมปัจจุบันต่างกันมากมายในหลายด้าน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเคารพสิทธิของส่วนต่างๆ ในสังคม และธรรมชาติแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการพัฒนาไปสู่ความเป็นธรรมและความยั่งยืนของทั้งสังคมและธรรมชาตินั่นเอง
ในเชิงรูปธรรมของการพัฒนาในมิติวัฒนธรรมก็คือ รัฐควรมีบทบาทในการสร้างหลักประกันให้ผู้คนต่างฐานะทางเศรษฐกิจ ต่างวิถีชีวิต ต่างระบบการผลิต และแม้ต่างชาติพันธุ์ณและเพศ สามารถอยู่ร่วมกันและมีความสัมพันธ์ในพหุสังคมได้อย่างเสมอภาค ไม่ใช่ การพัฒนาแต่เศรษฐกิจในภาคธุรกิจแล้วลืมภาคประชาชนและระบบเศรษฐกิจย่อยๆ ในชุมชน แต่ควรเคารพสิทธิของระบบเศรษฐกิจ การเมือง และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทุกส่วนในสังคม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและยั่งยืน ซึ่งหมายถึงการยอมรับให้มีทางเลือกในการผลิตทางเศรษฐกิจ ระบบการเมือง และระบบธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลายด้วย นั่นคือ กฎหมายนโยบายต่างๆ ของรัฐในการพัฒนาที่จะต้องเคารพทั้งวัฒนธรรมและธรรมชาติแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้กลุ่มคนต่างๆ มีทางเลือกอย่างแท้จริง
ทั้งนี้มิติสิ่งแวดล้อม (หรือระบบนิเวศน์) ที่ตั้งอยู่บนมุมมองทางวัฒนธรรม จะต้องมีแนวคิดที่เอื้อและสนับสนุนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมโดยตรง ความเชื่อโดยทั่วไปว่าพฤติกรรมของคนๆ หนึ่ง จะต้องมีความเคารพและไม่ได้ถือแค่ความต้องการปัจจุบันของตนเป็นหลักเท่านั้นแต่ต้องคิดไปถึงคนรุ่นต่อไปด้วย ทั้งนี้รวมถึงความเคารพและความพยายามที่จะปกป้องค้ำจุนชีวิตต่างๆ รวมทั้งระบบชีวภาพต่างๆ เช่น การกำหนดให้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นต้น ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน รวมทั้งการสร้างรูปแบบของการปฏิบัติมาตรการและกฎหมาย รวมถึงเครื่องมือที่จำเป็นต่อชุมชนเพื่อนำไปสู่ความมั่นใจในความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบวัฒนธรรมและบุคคลิกภาพ เป็นการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง เช่น ในชุมชนไต[2] บางกลุ่มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ตั้งระเบียบในการแบ่งปันฟืนในแต่ละวันไว้ โดยให้เอาฟืน ที่เก็บมาได้มากองรวมกันไว้ตรงทางเข้าหมู่บ้านแล้วจึงแบ่งออกเป็นกองๆ ให้แต่ละครอบครัวตามจำนวนของคนที่ต้องการจะใช้ประโยชน์ในครั้งนั้นๆ
ดังนั้นเพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ของการพัฒนาและสิ่งแวดล้อมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้มีการเปลี่ยนระบบคิดและวิธีคิดอย่างถอนรากถอนโคน นั่นคือ เดินออกจาก “ความล้มเหลว” เพื่อที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้มีการเปลี่ยนระบบคิดแบบถอนรากถอนโคน นั่นคือ เดินออกจาก “ ความล้มเหลวทางพาราไดม์” (Paragigm failure) ไปสู่ “ การปฏิวัติทางพาราไดม์” ที่ให้ความหมายกับความสัมพันธ์ระหว่างระบบนิเวศกับระบบเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมรวมทั้งวิธีการมองโลกและธรรมชาติ เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “การพัฒนาจริยธรรมทางสิ่งแวดล้อม” (environmental ethics) ถ้าไม่มีความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ นอกจากจะไม่ถึง “ความยั่งยืน” แล้วยังต้องพบกับความหายนะทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพปกติได้อีกเลย ตามหลักเศรษฐศาสตร์ผู้สร้างมลภาวะต้องเป็นผู้จ่าย เพราะมีการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่นอกจากนี้แล้วเขาควรจะต้องจ่ายเพิ่มอีกเพราะความไม่เข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม
ประเด็นของการพัฒนาบุคคลิกภาพนั้นได้เสนอ “ขบวนการประชาสังคม” ซึ่งการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นจะเรียกได้ว่ามีความยั่งยืนเมื่อพยายามให้เกิด 2 สิ่งเข้าด้วยกัน คือ ความยุติธรรมและความถูกต้องทางสังคม อันเป็นพื้นฐานการพัฒนาปัจเจกบุคคล ซึ่งกำหนดให้สิทธิทางการเมืองเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิต สิ่งที่สองได้แก่ ความยุติธรรมและความถูกต้องทางเศรษฐกิจ ซึ่งเสมือนพื้นฐานที่จะรับรองการอยู่ดีกินดีของปัจเจกบุคคลและมีสิทธิทางเศรษฐกิจเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตด้วยเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทางการเมืองและเศรษฐกิจของปัจเจกบุคคลได้มีการสร้างขึ้นและเกิดการยอมรับ รวมทั้งมีกลไกของระบวนการตรวจสอบผ่านทางตัวชี้วัดเชิงคุณภาพในระดับท้องถิ่นแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ประเด็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศก็จะกลายเป็นความจำเป็นพื้นฐานในการขยายการพัฒนา และจากการที่ปัจเจกบุคคลมีความสนใจที่จะรักษาไว้ซึ่งพื้นฐานของสิทธิทางเศรษฐกิจและทางการเมือง อันได้แก่สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของเขาอยู่แล้วอย่างน้อยก็จะเกิดการพัฒนานิวเศที่ยั่งยืน และเมื่อนั้นสิทธิ ความชอบธรรมต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และนิเวศวิทยาสิ่งแวดล้อมก็จะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน
สรุป
ปัญหาเชิงนิเวศมีความเกี่ยวข้องกับทั้งวัฒนธรรม ระบบสังคมและระบบบุคคลิกภาพของคนในสังคม เนื่องจากระบบสังคมที่ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นระบบการผลิตแบบทุนนิยม ลัทธิการบริโภคที่เน้นความสำคัญของเศรษฐกิจ และความเจริญเติบโตของเทคโนโลยี ขูดรีดและใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ทำให้ระบบวัฒนธรรมเดิมที่เน้นความเป็นชุมชนและการเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติแวดล้อมนั้นเริ่มเลือนหาย ความเอื้ออาทรของผู้คนในสังคมลดลง เนื่องจากแนวคิดของการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการเป็นที่หนึ่ง บุคลิคภาพความเป็นนักธุรกิจครอบงำแนวความคิดที่เน้นการอยู่ร่วมกันแบบพี่น้องและสังคมเห่งการช่วยเหลือได้สิ้นสุดลง ผู้คนต่างเร่งรีบและขวนขวายผลประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุด นำมาซึ่งปัญหาความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ และในที่สุดปัญหาเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบกับสังคมมนุษย์โดยตรง เพราะมนุษย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ามนุษย์จะพยายามหาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศก็ไม่อาจบรรลุผล ตราบเท่าที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนระบบคิด วัฒนธรรมการเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติแวดล้อม ให้เป็นทางสายกลางระหว่าง “เทคโนโลยี” และ “สิ่งแวดล้อม”
[1] สาขาสังคมวิทยาการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
[2] เผ่าไต เป็นชาติพันธุ์ที่พบได้ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออเฉียงใต้ในส่วนที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีวัฒนธรรมบางส่วนร่วมคล้ายกับของประเทศไทย
ไม่มีความเห็น