ผลกระทบจากการโดนยุบเลิกตำแหน่ง


ผลกระทบจากการโดนยุบเลิกตำแหน่ง

"ผลจากการโดนยุบตำแหน่ง"

บันทึกนี้ ผู้เขียนต้องการเขียนเพื่อเป็นตัวอย่างหรือบทเรียนให้กับใคร หลาย ๆ คน ที่โดนยุบตำแหน่งจากผลพวงของการปฏิรูปการศึกษาไทย และเพื่อเป็นอุทาหรณ์และผลที่เกิดจากการเปลี่ยนระบบราชการ ดังนี้ค่ะ

ก่อนอื่น ขอเล่าประวัติสำหรับตัวผู้เขียนให้ทราบก่อนว่า ผู้เขียนบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยสอบบรรจุจากสำนักงาน ก.พ. โดยได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. ตำแหน่งพนักงานธุรการ 2 ซึ่งปฏิบัติงานด้านงานการเจ้าหน้าที่ สปอ.ทับคล้อ สปจ.พิจิตร สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เป็นเวลา 2 ปี ครึ่ง ได้รับการสอนงานจากพี่ ๆ และหัวหน้างานให้ผู้เขียนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับเรื่องบุคคล อย่างค่อยเป็นค่อยไป

2. ตำแหน่งพนักงานธุรการ 3 สปอ.เนินมะปราง สปจ.พิษณุโลก (ขอย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่งานบริหารทั่วไป เกี่ยวกับเรื่องการบริหารทั่วไป การจดวาระการประชุม การปฏิบัติงานด้านสวัสดิการร้านค้า และงานด้านบริหารทั่วไป เป็นเวลา 3 ปี กว่า ๆ

3. ตำแหน่งพนักงานธุรการ 4 สปอ.บางระกำ สปจ.พิษณุโลก ซึ่งปฏิบัติหน้าที่งานการเจ้าหน้าที่ ซึ่งในครั้งนี้ได้ทำงานใหญ่ขึ้น ยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องรักษาการหัวหน้างานการเจ้าหน้าที่ในคราวที่ สปอ.มีตำแหน่งหัวหน้างานว่างลง และต้องปฏิบัติงานในทุก ๆ เรื่องของงานการเจ้าหน้าที่ เช่น การขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การเป็นเจ้าหน้าที่วิทยุสื่อสาร (เป็นแม่ข่ายให้กับโรงเรียน 76 โรงเรียนใน สปอ.บางระกำ) การย้าย - โอน ข้าราชการ การแต่งตั้งข้าราชการ การสอบบรรจุ การเลื่อนตำแหน่ง การพิจารณาความดีความชอบ ฯลฯ เรียกว่า ทดสอบการเป็นหัวหน้างานการเจ้าหน้าที่ เป็นเวลา เกือบ 5 ปี

4. ตำแหน่งพนักงานธุรการ 5 สปอ.พรหมพิราม สปจ.พิษณุโลก (ขอย้ายเพื่ออยู่รวมกับคู่สมรสและครอบครัว) ปฏิบัติหน้าที่งานด้านงานการเจ้าหน้าที่ เช่น การลงทะเบียนประวัติ (ก.พ. 7) การย้ายข้าราชการ การพิจารณาความดีความชอบ การเป็นกรรมการสอบสวนวินัยของข้าราชการ ฯลฯ เป็นเวลา 1 ปี

5. ตำแหน่งบุคลากร 6 สปอ.สามเงา สปจ.ตาก (ได้รับการแต่งตั้งในระดับที่สูงขึ้น โดยการสอบคัดเลือกที่ สปช. ) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานการเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ ดูแล รับผิดชอบ ให้คำปรึกษา แนะนำในเรื่องของงานการเจ้าหน้าที่ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรบน สปอ. เป็นเวลา 1 ปี

6. ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 6 สปอ.นครไทย สปจ.พิษณุโลก (ย้ายกลับเพื่ออยู่กับครอบครัว) ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหัวหน้างานบริหารทั่วไป โดยมีหน้าที่ ดูแล ควบคุม ให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของงานบริหารทั่วไป งานแผนงานและงบประมาณ ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรบน สปอ. เป็นเวลา 2 ปี

7. ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประถมศึกษา 7 (ผู้ช่วยประถมศึกษาอำเภอชาติตระการ) สปจ.พิษณุโลก (สอบเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร เนื่องจากจบการศึกษาระดับปริญญาโท วิชาเอกการบริหารการศึกษา เป็นการลองภูมิรู้ของตนเองที่จบปริญญาโท) ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูในอำเภอชาติตระการ และทำหน้าที่รักษาการแทนหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ ซึ่งว่างลง เป็นเวลา 2 ปี (ประสบการณ์ที่ได้รับในขณะที่ดำรงตำแหน่ง คือ เป็นผู้ประสานรอยร้าวให้กับผู้บริหารโรงเรียน และได้รับคำชมว่า "เป็นคนติดดิน" จากข้าราชการครู)

อนิจจา ! ข้อความข้างต้น เป็นเสมือนการสะสมผลงานตั้งแต่เริ่มต้นของผู้เขียนมาจนถึงจุดที่ผู้เขียนคิดว่าดีขึ้นเป็นลำดับ ๆ... แต่ใครจะทราบได้ว่า...ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา...มันคือภาพลวงตา...เมื่อเหตุการณ์การปฏิรูปการศึกษาบังเกิดขึ้น...และก็เกิดเสียจนผู้เขียนตั้งตัวไม่ติด...รัฐประกาศยุบเลิกตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ...ทั่วประเทศ...สำหรับผู้เขียนต้องเข้ามาทำงานที่เขตพื้นที่การศึกษา เป็นเวลา 2 ปี ....สำหรับการอยู่เขตพื้นที่การศึกษานั้น ไม่ต้องพูดถึง...ทำให้ทราบถึงการแบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า...เนื่องจากมีการยุบกระทรวง กรม เช่น นำ สปอ. สปจ. ศึกษาธิการอำเภอ ศึกษาธิการจังหวัด สามัญจังหวัด มารวมกัน (คิดดูแล้วกัน แค่ สปอ. ก็มีปัญหาพอแรง แต่นำหน่วยงานต่าง ๆ มารวมกัน ปัญหาเรื่องคนเกิดขึ้นแน่นอน)

ทำให้มองเห็นภาพการไม่มีระบบ การแก่งแย่ง เด็กใครเด็กมัน ผู้เขียนมีความอึดอัดมากกับการทำงานประเภทนี้ ซึ่งไม่ใช่ระบบราชการที่เราเคยปฏิบัติมาแบบแต่ก่อน...เพราะผู้เขียนไม่คุ้นเคยกับการใช้เส้นสาย อำนาจในการทำงาน เนื่องจากในการย้าย หรือเปลี่ยนที่ทำงาน ผู้เขียนจะเป็นไปด้วยความสามารถของผู้เขียนเอง ไม่เคยวิ่งเต้นเพื่อให้ย้าย (โดยการเสียเงิน) การเปลี่ยนตำแหน่งก็โดยการสอบด้วยตนเอง (อาศัยความสามารถของตนเองเท่านั้น)...เสมือนจะเป็นความภาคภูมิใจของตนเอง....ที่เราทำได้...ทำให้ผู้เขียนต้องดิ้นรนสอบเปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่ โดยมาสอบเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7/8 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ซึ่งก็สมเจตนารมณ์ของผู้เขียนที่สอบได้ ...(มาเพื่อให้พ้นกับสภาพแบบนั้น) ...แต่กว่าจะได้มาอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม...ก็อำนาจอีกนั่นแหล่ะ...ที่ทำให้กว่า สพฐ.จะปล่อยตัวผู้เขียนมา...กินเวลาเกือบ 1 ปี... แถมมีข่าวว่าจะไม่ให้มาในตอนแรก...เนื่องจากกลัวอัตรากำลังลดลง...(ถ้าถามความรู้สึกของผู้เขียนว่าอยากมาที่ใหม่ไหม)...บอกได้เลยว่า ไม่อยากมา...เพราะผู้เขียนรู้ว่า ถ้ามาแล้วตัวผู้เขียนต้องมีการปรับตัวอย่างมาก ๆ ในการมาอยู่ที่ใหม่...เพราะจากประวัติ ก็น่าจะทราบแล้วว่า ผู้เขียนเปลี่ยนสถานที่ทำงานมาก (เป็นเพราะการสอบเปลี่ยนซี เปลี่ยนตำแหน่ง การเป็นข้าราชการสมัยเดิมนั้น ถ้าใครไม่สอบหรือสอบไม่ได้ ก็จะต้องอยู่ในซีตามกรอบอัตรากำลังกำหนดและก็จะไม่มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพไปจนเกษียณอายุราชการ)...การปรับตัวเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่กับพวกที่ทำงานอยู่เดิมได้หรือไม่...แม้แต่กว่าจะมาอยู่ที่ มรภ.พิบูลสงคราม ยังถูก ผอ.เขตพื้นที่ เรียกไปพบ...พร้อมทั้งกล่าวว่า "เป็นกบฏต่อองค์กร"...

สำหรับคำคำนี้... มันก้องอยู่ในโสตประสาทของผู้เขียนตลอดเวลา...ว่า ทำให้คิดว่า...คนจบปริญญาเอก...คนมีการศึกษา...เขาคิดกันเพียงแค่นี้หรือ... คิดแบบตื้น ๆ...ไม่ให้เราไปที่อื่น...แล้วถามต่อว่า...มีที่นั่ง หรือตำแหน่งให้เราได้อยู่ไหม...คุณดูแลเราดีมากน้อยแค่ไหน...ขวัญ กำลังใจมันหายไปตั้งแต่คุณยุบตำแหน่งเราแล้ว... ผู้เขียนได้แต่อดทน...ได้แต่คิดว่า..."ไม่เป็นไร" เราต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นให้ได้ว่าเรา ไม่ได้กบฏต่อองค์กร เราไปอยู่ที่ใหม่เพราะ สพท. ไม่มีที่ที่จะให้เราอยู่เองต่างหาก...เมื่อไม่ต้องการแล้ว...ไม่สนใจความรู้สึกของคนในองค์กรแล้ว...ก็ไม่เป็นไร... ก็อยากทำอะไรกันไม่มีแผนรองรับนี่... มันจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้...(ผู้เขียนคิดว่าเปรียบเสมือนตัวเองในขณะนั้น เป็นลูกโป่ง ที่ถูกคนกดลง ๆ ดีที่ว่าลูกโป่ง ลูกนั้น มันไม่แตกเท่านั้นเอง) และผู้เขียนก็ได้สอบผ่านการคัดเลือกและโอนมาอยู่ที่ มรภ.พิบูลสงคราม...เรียกว่า ไปตายเอาดาบหน้า... มีพวกพี่ ๆ ที่สอบได้กันแล้ว สพฐ. ก็ไม่ยอมให้มาที่ มรภ. กันอีกมากมาย...แต่ก็ทำให้เห็นว่าผู้เขียนอยู่เขตพื้นที่ ไม่เคยได้ 2 ขั้น สำหรับคนอื่นที่มีพวกพ้อง มีเส้น มีสาย ได้กันโครม ๆ แต่เมื่อผู้เขียนได้มาอยู่ มรภ. เป็นเวลา 5 ปี ได้ 2 ขั้นถึง 3 ครั้ง และปีไหนที่ไม่ได้ 2 ขั้น ก็ได้ ขั้นครึ่งทุกปี... (น่าคิดไหมละค่ะ...ว่าเพราะเหตุใด ?...)...วัดกันที่ผลงานค่ะ...

แต่เมื่อมาอยู่ มรภ. เหตุที่เป็นลูกโป่งโดนกด พอมันถูกปลดปล่อย เท่านั้น เสมือนลูกโป่งใบนี้ มันก็ลอยขึ้นฟ้า...ผู้เขียนทำงานให้ มรภ. ทุกอย่างที่มีความรู้ ความสามารถ มีกำลัง แรงกายที่มีอยู่ เพื่อให้ มรภ.ได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้น (เรียกว่าทุกอย่างที่ถ้าใครเอ่ยปากทำไม่ได้...แต่ผู้เขียนคิดว่าทำได้...จะอาสาทำให้...เรียกว่าความสามารถมีเท่าไร ทุ่มให้เต็มที่...) จนปัจจุบัน มรภ. ดีขึ้นตามลำดับ...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จลงได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมแรง กับทุกฝ่าย ทุกคนใน มรภ. ที่จะทำให้งานบรรลุผลสำเร็จลงได้ เพื่อความเติบโตในอนาคตของ มรภ.พิบูลสงคราม ค่ะ...

ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ๆ หนึ่ง ที่ผู้เขียนคือ หนึ่งในจำนวนของผู้ที่โดนผลกระทบของการปฏิรูปการศึกษา คนอื่นอาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับผู้เขียนและครอบครัว คิดว่า "มันคือความเจ็บปวด" ที่ในความเจ็บปวดนั้น นั่นก็คือ "ความอดทน"จึงทำให้ผู้เขียนมีความแกร่งขึ้น มีชีวิตที่เข็มแข็ง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาก็คงทนไม่ได้...และอยากบอกถึงผู้ที่คิดปฏิรูปการศึกษาว่า...ท่านทราบหรือไม่ว่า ผลกระทบจากการปฏิรูปการศึกษานั้น...ลูกน้อง พรรคพวกของท่าน...โดนอะไรบ้าง...เขามีความสุขดีหรือ...น้อยคนนักที่จะเหมือนกับผู้เขียน...ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับผู้ปฏิรูปการศึกษาทั้งหลาย...ก่อนทำสิ่งใด...ควรวางแผนให้มั่นคงเสียก่อน...นึกถึงผู้ร่วมงานด้วยว่าจะโดนอะไร...ค่อยคิดทำการใหญ่...

ผู้เขียนขอฝากให้เป็นบทเรียนที่เป็นตัวอย่างได้สำหรับเด็ก ๆ ในยุคใหม่ ว่า ต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต เมื่อยามที่เกิดปัญหาต่าง ๆ ให้นึกถึงเสมอว่ามนุษย์เราต้องมีความอดทน แล้วจงอย่ายึดติดกับความหลัง จงทำปัจจุบันและอนาคตของตนเองรวมถึงองค์กรให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เผื่อความผิดหวังไว้บ้าง อย่าคิดว่าทุกอย่างจะสมหวังตลอดไป และสิ่งที่ไม่ควรลืม คือ ต้องไม่หยุดนิ่ง ควรมีการพัฒนาตนเองและหน่วยงาน เพราะการพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด...ฝากถามถึง...พวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่มาจาก สพท. และกระจายกันอยู่ตาม มรภ.ต่าง ๆ ยังสบายดีกันอยู่หรือเปล่าค่ะ...มีเหตุการณ์ใด...เล่าสู่กันฟังบ้างนะค่ะ...เป็นกำลังใจให้สู้ต่อค่ะ...อย่าท้อแท้...อย่าคิดมากนะค่ะ...อีกไม่กี่ปีก็เกษียณเหมือนกันค่ะ...

หมายเลขบันทึก: 355050เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2010 11:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน 2016 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีค่ะพี่บุษยมาศ

ได้ข้อคิดเรื่องความอดทน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในเกมกีฬา และเกมชีวิต

ยังระลึกถึง ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณ poo...

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ...ใช้เป็นข้อคิด และตัวอย่างในการดำเนินชีวิตได้เลยค่ะ...ว่าชีวิตคนเราไม่ได้ ได้มาบนเส้นทางของกลีบกุหลาบค่ะ...

สวัสดีครับอาจารย์....ผมครูโน้ต

ขอบคุณครับสำหรับความรู้และ

ประสบประการณ์ที่อาจารย์ถ่ายทอดมาให้ครับ.......

ครูนราธิป เหล่าสุนทร

[email protected]

081-4050965

สวัสดีค่ะ...ครูโน้ต...

P  ขอบคุณค่ะ...ได้รับเกียรติอย่างยิ่งเลยค่ะ...เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกปุ๊ป...ก็ได้รับเกียรติเข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นเลยค่ะ...เป็นบล็อกแรกหรือเปล่าค่ะ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ...

เสาวลักษณ์ สุนทโรทก

ได้อ่านงานเขียนของอาจารย์เรื่องบทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรบุคคล แต่ไม่ทราบนามสกุลเพราะจะนำไปอ้างอิงในรายงาน เปิดมาพบหน้านี้รู้สึกเห็นใจและประทับใจอาจารย์มากที่เข้มแข็ง อดทนฟันฝ่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เลวร้ายมาพบความสุขใน มรภ.พิบูลสงคราม ดิฉันก็มีชีวิตที่ต้องสู้มาโดยตลอดเข้าใจและขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์ค่ะ

สวัสดีค่ะ...คุณเสาวลักษณ์...

  • click ดูที่ประวัติด้านบนก็ได้ค่ะ (ใต้รูป) จะมีประวัติบอกไว้ทั้งหมดค่ะ...นามสกุล "แสงเงิน" ค่ะ...
  • เรียกว่า เป็นยอดนักสู้ในเรื่องของการทำงานรับราชการมากกว่าค่ะ พบเจอปัญหา อุปสรรดมากมาย ข้าราชการบางคนก็ไม่เป็นเช่นตัวพี่หรอกค่ะ...ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว แต่การที่เราพบเจอปัญหามาก ๆ เข้า ทำให้ชีวิตเราแกร่งและแข็งแรงขึ้นเรียกว่า มีภูมิคุ้มกันมากขึ้นนะค่ะ...
  • เหตุจากที่ตัวเราพบเจอจึงนำเรื่องมาแบ่งปันเพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับเด็ก ๆ รุ่นหลังรับรู้และตั้งรับกับปัญหาไว้ไงค่ะ...
  • ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท