การเมืองเรื่องใกล้ตัวของผม


การเมือง การมีส่วนร่วม ผิดกฎหมาย เด็ก ผู้สูงอายุ

                                  

การเมืองเรื่องใกล้ตัวของผม

           ผมเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งในและนอกระบบ  ในระบบคือเป็นสมาชิกวุฒิสภาติดต่อกันสองสมัย 10 ปีและต่อด้วยการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกปีเศษ หากรวมเอาเวลาในช่วงรักษาการสมาชิกวุฒิสภามารวมเข้าด้วย ก็นานร่วม 13 ปีในสภา
           ในสมัยนั้น จุดหลักคือทำหน้าที่เป็น"ประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ"จึงมีทั้งการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รับเรื่องราวร้องทุกข์  เสนอแนะและกำกับรัฐบาลให้มีนโยบายที่ดี  การทำงานเหล่านั้นจึงต้องประชุม ต้องเดินทางไปพบปะกับผู้คนมากมายทั้งในสลัมและต่างจังหวัด  มีโอกาสพบคนจำนวนมากที่เดินทางมาร้องเรียน  ได้พบนายกรัฐมนตรีหลายคนและรัฐมนตรีมากมาย  จึงทำให้งานเพื่อกลุ่มคนด้อยโอกาสและผู้ประสบปัญหาต่างๆ ลุล่วงไปได้ด้วยดี  สรุปคือได้ทั้งงานและได้ทั้งเพื่อนที่เป็นประชาชนทั่วไป เป็นข้าราชการและเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสส.ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน เรียกว่าเป็นคน "มีเพื่อนมาก"ก็ว่าได้
          สำหรับการเมืองนอกระบบรัฐสภานั้น ผมมีส่วนขับเคลื่อนอยู่บ้าง โดยเฉพาะการต่อต้านอบายมุขต่างๆ เช่นต้านไม่ให้นำเบียร์และเหล้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ไม่ให้มีหวยออนไลด์และบ่อนถูกกฎหมาย  ส่วนการร่วมชุมนุมนั้น มีบ้างคือแอบไปชุมนุมเพื่อรับฟังปัญหาต่างๆ ที่ผู้เดือดร้อนเขาประสบอยู่ เช่นกลุ่มแรงงานหญิงที่ถูกเลิกจ้าง  กลุ่มเกษตรกรที่มีปัญหาราคาตกต่ำ กลุ่มผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการไล่ที่ในสลัมหรือในชนบท ฯลฯ เพื่อเป็นข้อมูลหาทางไปประสานให้หน่วยงานทั้งรัฐบาลและราชการช่วยเหลือต่อไป จึงกล่าวได้ว่าบทบาทเช่นนี้ไปหวือหวาอะไรนัก
          ครั้นเมื่อ ข่าวการปรากฎตัวของผมในกลุ่มชุมนุมเสื้อหลากสี ที่โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ได้แพร่ภาพผมออกมาเป็นระยะๆ จึงสร้างความแปลกใจต่อสังคมไม่น้อยเพราะผมเองหากไม่จำเป็นจะไม่ขึ้นเวทีไฮปาร์ค  ดังนั้น จึงมีเพื่อนมากมายที่โทรมาถามว่าคิดเช่นไรถึงแสดงบทบาทเช่นนั้น จำนวนมากแสดงความห่วงใยกังวลในสวัสดิภาพของผม รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งหลายก็ตามหาตัวผมให้ไปออกรายการหลายต่อหลายครั้งซึ่งส่วนใหญ่ผมจะปฏิเสธไป มีที่อธิบายชัดเจนทั้งหมดคือการสัมภาษณ์ผมลงแทบลอยด์ไทยโพสต์ฉบับวันจันทร์ที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา(ไปตามหาอ่านกันเองนะครับเพราะยาวมาก 4 หน้าเต็ม)  
           ผมขอถือโอกาสนี้ตอบนะครับว่าทำไมไปร่วมชุมนุมเสื้อหลากสี
           1.เนื่องจากผู้เข้าร่วมชุมนุม ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่ใหม่ต่อการชุมนุม หากไม่มีคนที่พอมีประสบการณ์บ้างคอยประคับประคองและให้สติและให้ความรู้ที่ชัดแจ้งในบางเรื่องแล้ว ผมเกรงกลัวว่าขบวนของผู้ชุมนุมจะก้าวไปไกลเกิน โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นที่ล้วนแต่เป็นคนไทยเหมือนกัน การพูดของผมจึงเน้นสติและสันติวิธี รวมทั้งไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือรุนแรงใดใด ไม่ยุยงให้ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกัน ไม่ท้าทาย ซึ่งผู้ที่เข้าชุมนุมทั้งหลายคงประจักษ์ได้ดี นอกเหนือไปจากนั้นคือบอกให้เหล่าแกนนำผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีนั้นหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากการสัญจรบนท้องถนน (อะไรที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ไม่ควรไปทำเหมือนเขา)
           2.ผมเข้าไปร่วมเพราะผมพบว่า การชุมนุมของคนไทยย่านราชประสงค ได้ถูกแกนนำพาก้าวไปเกินกว่าจะรับได้ เช่นกรรโชก คุกคาม ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายที่ผ่านเยี่ยมกรายเข้าไปใกล้ ปิดถนนตรวจค้นรถและผู้คน  กักขังเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เหล่านี้หากประชาชนนิ่งเฉยแล้ว บ้านมืองคงไร้ขื่อไร้แปร เข้าข่ายบ้านป่าเมืองเถื่อน การรวมตัวของประชาชนจึงเป็นไปเพื่อบอกให้รู้ว่า ทำเกินไปแล้วและมีคนจำนวนมหาศาลที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมอันตพาลเช่นนั้น ส่วนการชุมนุมโดยสงบอยู่ที่ไหนนั้นผมรับได้และไม่เห็นด้วยการเข้าสลายผู้ชุนุมเพราะส่วนใหญ่เป็นเด็ก สตรีและผู้สูงอายุ ซึ่งถูกแกนนำนำเอามาเป็นโล่ห์มนุษย์ (ประวัติศาสตร์บอกให้รู้ว่า ทุกครั้งที่มีการปะทะกัน มีแต่เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิต แกนนำไม่เคยตาย)
          3.ที่ผมรับไม่ได้อย่างยิ่งคือ การชุมนุมของกลุ่มย่านราชประสงค์ที่พยายามพูดพาดพิงสถาบันไปทางที่เสียหายหรือเข้าข่ายหมิ่น ซึ่งบางรายได้ถูกจับกุมคุมขังแล้วและอีกหลายคนได้ถูกออกหมายจับอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ครับและผมเชื่อว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศยอมไม่ได้กับเรื่องเหล่านี้และผู้ชุมนุมจำนวนมากในนั้นก็รู้ไม่ถึงข้อเท็จจริงนี้เพราะฟังแต่การอภิปรายของแกนนำ โดยไม่มีโอกาสรับฟังจากข่าวสารอื่นใดมากพอ
          นี่คือสามสาเหตุที่ผมตัดสินใจไปเข้าร่วมกลุ่มเสื้อหลากสีและมีส่วนชี้แนะพูดคุยในบางเรื่อง เสร็จผมก็กลับบ้านเหมือนผู้ชุมนุมคนอื่นๆ  ผมขอยืนยันว่าผมไม่ใช่แกนนำและไม่ประสงค์จะเป็น อีกทั้งในกลุ่มเองก็มีหลายคนที่มีศักยภาพในการนำได้ เพียงแต่ยังขาดระบบการจัดการที่ดีและปลอดภัยเพียงพอเท่านั้นเอง  แต่ที่สื่อพยายามเน้นว่าผมเป็นแกนนำคงเพราะผมพอจะเป็นบุคคลที่สาธารณะรู้จักบ้างเท่านั้นเอง 
          ครับ บทบาทผมก็มีเพียงเท่านี้ ซึ่งผมหวังว่าทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยในเร็ววันและคนไทยรักกันเหมือนเดิม ผมจะได้ทำหน้าที่ในการพิทักษ์สิทธิของเด็กๆ ได้อย่างเต็มที่เหมือนที่ผ่านๆ มา.........สวัสดีครับ

 

หมายเลขบันทึก: 355036เขียนเมื่อ 30 เมษายน 2010 11:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

+ สวัสดีค่ะ...ชื่นชมและชื่นชอบการกระทำของท่านในหลาย ๆ บทบาทค่ะ

+ ร่วมส่งกำลังใจให้ค่ะ...พลังเงียบมีอีกมากมายค่ะ...อย่างน้อยคนในหมู่บ้านของหนูก็ยังมีอีกทั้งหมู่บ้านที่คิดเช่นท่านค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองครั้งนี้ สะท้อนภาพสังคมไทยได้ดี

หลายคนคิดว่า..การแก้ปัญหาสังคม ต้องปลูกฝังให้เด็กเป็นคนมีคุณธรรม น้ำใจ

แล้วผู้ใหญ่บางคน..เป็นอย่างไร จึงทำให้สังคมไทยเป็นแบบนี้

สวัสดีค่ะคุณครูหยุย

ชื่นชมในความกล้าหาญ เพื่อแสดงจุดยืน บนพื้นฐานเรื่องสวัสดิภาพเด็ก สตรี ผู้สูงวัยค่ะ

ในเรื่องของความดี ความถูกต้องแล้ว เราคนไทยก็ควรประกาศเจตนารมย์ให้ชัดเจนไปเลย

ขอบพระคุณอย่างยิ่งด้วยจิตคารวะ ค่ะ

 

+ สวัสดีค่ะ...หนูรู้สึกยินดีมากค่ะ...ที่ได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครูหยุยในบล็อก Gotoknow  แห่งนี้ค่ะ...

+ หนูต้องย้อนกลับไปอ่านบันทึกของคุณครูทั้งหมดค่ะ...ทุกบันทึกของท่านทำให้ครูบ้านนอกอย่างหนูมีความสุข  มีแรงกาย   มีแรงใจเป็นที่สุดค่ะ...

+ จากประสบการณ์การเป็นครู   ทำให้หนูคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุด  คือ การไม่คุกคามความรู้สึกของเด็ก...การหยิบยื่นโอกาสให้เด็ก...พูดถึงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็ก ไม่ใช่ตัวเด็ก

+ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งค่ะ ที่หนูมีความสุข เพราะ 

             1.ได้อ่านบันทึกทุกบันทึกของท่าน  

             2. ได้รับเกียรติเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับพ่อครูบาฯ ในวันที่ 2 พ.ค. 2553  นี้ค่ะ 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท