สิบเมษาห้าสาม ที่แยกคอกวัว


ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้า ที่เป็นแพทย์ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน

Fwd mail……………….

เมื่อวานนี้ เวลา 22:42 น.

ได้รับ Fwd mail มาจากเพื่อนที่ รพ พระมงกุฏ เกี่ยวกับเหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน ในมุมมองของแพทย์ทหารที่ปฏิบัตืงานในวันนั้นค่ะ .. ใช้วิจารณญาณกันตามสมควร

สิบเมษาห้าสาม ที่แยกคอกวัว

15 เม.ย. 53
ผมในฐานะแพทย์ทหารคนหนึ่งที่ปฎิ บัติงานในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 อยากจะเขียนบันทึกความทรงจำเหตุการณ์ในวันนั้น
เพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน เป็นอุทาหรณ์ หรือเป็นสิ่งเตือนใจให้แก่ตนเอง และประชาชนชาวไทย
ไม่ให้ลืมเลือนบทเรียนจากเหตุ การณ์ครั้งนี้ไปกับกาลเวลา
ผมได้รับภารกิจในฐานะ ผบ.มว.สร.พัน.ร. (ผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ) หรือก็คือแพทย์ทหารประจำกองพัน
หน้าที่ของผมคือติดตามดูแลกำลัง พลเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค การส่งกำลังบำรุงทางสายแพทย์
รวมถึงงานอื่นๆตามที่ผู้บังคับ บัญชามอบหมาย ผมมาภารกิจในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. 53
ย้ายสถานที่พักไปตามภารกิจต่าง ๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตั้งด่าน ตรวจ และเฝ้าระวังเหตุร้ายตามสถานที่ สำคัญ
เช่น ที่ ร.1 พัน.1 รอ., ร.11 รอ., สนามบินสุวรรณภูมิ, ลาดหลุมแก้ว
และที่สุดท้าย คือ สี่แยกคอกวัวบริเวณถนนตะนาวศรี (ข้างวัดบวรนิเวศฯ ย่านบางลำภู)
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. 53
หน่วยของเราได้รับภารกิจในการขอ พื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุ มที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ออกจากที่ตั้งปกติโดยรู้ก่อนล่วง หน้าไม่ถึง 1 ชม.
หลังจากเข้าที่รวมพลซึ่งอยู่ไม่ ไกลจากสี่แยกคอกวัวไม่นานก็ ต้องเคลื่อนย้ายราวสักบ่าย โมง ผมขึ้นบนหลังคารถฮัมวี่คันแรก สุด
(หากใครเห็นในรูปถ่าย ก็คงจะเห็นทหารคนหนึ่งบนหลังคารถฮัมวี่ที่ติดปลอกแขนกาชาด ถือโล่บังตัวเอง นั่นก็ผมล่ะครับ)
จนกระทั่งถึงบริเวณถนนตะนาวศรี กำลังพลรวมทั้งผู้พันก็ลงจากร ถ ไปตั้งแนวโล่หน้ากลุ่มผู้ชุมนุม
ผู้พันผมบอกให้ผมรออยู่ในรถก่อน เนื่องจากกลัวว่าผมอาจโดนสิ่งของ ขว้างปามาจะเกิดอันตราย ซึ่งอีกไม่นานก็เกิดขึ้นจริงๆ
ทหารของเราตั้งแนวโล่ มีเพียงชุดเกราะป้องกัน (ผมเรียกว่า ชุดโรโบคอป) หมวกกันน๊อค โล่ และกระบองป้องกันตัว
เราถูกกลุ่มผู้ชุมนุมปาของทุกอย่าง ที่คิดว่าจะปาได้ ทั้งขวดเบียร์ ขวดกระทิงแดง ไม้ อิฐบล๊อค กระถางต้นไม้ บันได ขวดน้ำ ฯลฯ อีกสารพัด
รถบางคนกระจกถูกปาแตก แต่อาจเป็นเพราะรถฮัมวี่ของผมคงจะแข็งมากมั้งครับ กระจกเลยไม่เป็นไร
หลังจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มเห็นมีคนเจ็บจากของที่ถูกขว้างปา เลยตัดสินใจบอกพลขับว่าผมจะลงจากรถไปดูคนเจ็บ ฝากตอบ ว. (วิทยุ) ให้ด้วยนะครับ
หลังจากนั้นก็ลงไปดูคนเจ็บและ สถานการณ์อยู่หลังแนวโล่ ซึ่งในระหว่างนั้นก็ต้องคอยหลบซ้าย หลบขวา ก้มหัว หลบบรรดาสิ่งของที่ขว้างมา
แต่ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าผมโชค ดีมาก เพราะหลังจากผมตัดสินใจลงจะรถ ไม่นาน
กลุ่มผู้ชุมนุมก็รุกไล่แนวโล่ม าจนถึงรถฮัมวี่ที่ผมเคยนั่งอ ยู่ก่อนไม่ถึง 5 นาที ทุบรถ ทุบกระจก แล้วขึ้นไปบนช่องของพลสังเกตการณ์
(บนเพดานรถจะมีช่องไว้สำหรับให้ ทหารนั่งคอยสังเกตการณ์ หรือติดปืนกล แต่นี่เป็นรถธุรการของผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ฮัมวี่รบ เลยไม่ได้ติดอาวุธ)

พลขับของผมถูกผู้ชุมนุมใช้เท้า ยันศีรษะกับพวงมาลัยรถ ลากลงมารุมกระทืบ แล้วจ้วงแทงด้วยมีด แต่เขาก็ยังโชคดีมากที่ใส่เกราะ มีดเลยไม่เข้า
ไม่อย่างนั้นก็คงไส้ทะลักแน่ๆ ผมทำหน้าที่ช่วยกันกับทหารและ นายสิบพยาบาลลำเลียงผู้ป่วยจาก ด้านหน้าแนวมาไว้ที่รวบรวมผู้ ป่วยเจ็บด้านหลัง
ซึ่งผมกำหนดไว้ที่ริมกำแพงข้าง วัดบวรนิเวศฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นการปะทะกันของแนวโล่กับกลุ่มผู้ชุมนุม
ผู้ป่วยเจ็บส่วนใหญ่จึงมักเกิด จากการขว้างของแข็งเข้าใส่ มีบาดแผลแตกหรือบาดแผลที่ศีรษะ
รวมทั้งผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะตื่น ตระหนกทำให้เกิดอาการหายใจ เร็วเกินไป (ผมขอเรียกตามศัพท์ทางแพทย์ว่า Hyperventilation syndrome)
ในส่วนของผมมีผู้ป่วยอยู่ในเวลา นั้นประมาณ 20-30 คน การทำงานชุลมุนมาก เพราะเรามีคนน้อยแค่ผมกับนายสิบพยาบาลรวมกันไม่ถึง 6-7 คน
แต่ต้องขอขอบคุณพี่ๆน้องๆกู้ภัย เจ้าหน้าที่ EMS ของวชิรพยาบาล
รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องประชาชนละแวก นั้นที่ให้ความช่วยเหลือ คอยติดต่อเอารถกู้ภัยมารับคนป่วย ไป รพ.ศิริราช และ รพ.วชิรพยาบาล
คุณยายบางคนไม่รู้จะช่วยยังไง ก็ควักยาดมให้ พี่ๆหลายคนก็วิ่งไปหาน้ำเย็น น้ำแข็ง ผ้าเย็น แอมโมเนีย ให้คนไข้
หรือแม้แต่น้องผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงที่ผมจำได้ดี น้องเค้าวิ่งหาท๊อฟฟี่คอยแจกพี่ๆทหารและคนที่มาช่วย
พนักงานเดอะพิซซ่าก็คอยเอากระ ดาษลังมาพัดให้ผู้ป่วย
แต่มีนายสิบกับพลทหารอีกคนหนึ่ง ของหน่วยผมที่ถูกยิงด้วยอาวุธ ปืนที่บริเวณต้นขา
ถามเขาบอกว่าเขาอยู่บริเวณแถวหน้า สุดของแนวโล่ มีการ์ด นปช. คนนึงถูกยิงด้วยกระสุนยางที่ไหล่
เขาโมโห เขาพูดว่า “มึงยิงกูเหรอ” หลังจากนั้นก็ชักปืนพก 11 มม. ยิงใส่ทหาร
ถูกนายสิบคนหนึ่งมีบาดแผลรูกระสุน ที่ต้นขาซ้าย และถูกพลทหารอีกคนที่บริเวณขา
ผมได้ทำการห้ามเลือดด้วยผ้าแต่ง แผลและสายรัดห้ามเลือด (Tourniquet) แล้วส่งรถกู้ภัยต่อ
หลังจากเหตุปะทะช่วงแรกสักราวๆ ½ - 1 ชม. ทั้ง 2 ฝ่ายก็เจรจากัน
ผู้ชุมนุมขอให้ทหารถอยออกไป ส่วนทหารขอให้ผู้ชุมนุมถอยเพื่อ ลากเอารถที่เสียหายออกมา
ก็ตกลงกันได้ ต่างฝ่ายจึงถอยออกห่างจากกันประมาณ 20 เมตร
ซึ่งช่วงนั้นผมและเจ้าหน้าที่ได้ ทำการลำเลียงผู้ป่วยเจ็บออกไป ได้หมดแล้ว
ทั้งผู้ชุมนุมและทหารก็ต่างนั่ง พักตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ของ ตน
ในระหว่างนั้นก็มีประชาชนเอาน้ำ เอาของกิน เอาผ้าเย็นมาให้ทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุม
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงราวๆหก โมงเย็น (หลังเคารพธงชาติ) ทางทหารจึงได้รับคำสั่งให้ทำการขอคืนพื้นที่ชุมนุมอีกครั้ง
โดยตั้งขบวนแถวแรกจำนวน 1 กองร้อย ด้วยแนวโล่และกระบอง และมีกำลังด้านหลังมีปืน M16 เพื่อทำการยิงขู่ขึ้นฟ้าในกรณีที่จำเป็น
กำลังของทหารสามารถผลักดันผู้ชุมนุม ให้ถอยร่นจากบริเวณปาก ทางเข้าถนนข้าวสารจนเกือบจะ ถึงถนนราชดำเนินนอก
ซึ่งตอนนั้นผมอยู่หลังกองร้อยที่ อยู่ด้านหน้า (ชุดโรโบคอป โล่ กระบอง)
โดยมีผู้บังคับกองพันและผู้บังคับ การกรมคอยสั่งการอยู่ด้านหน้า ของผม (หลังแถวกองร้อย)
ลักษณะการจัดแนวจะเป็นแถวหน้ากระดาน ประมาณ 4-6 แถว ขณะนั้นผมอยู่ที่ริมฟุตบาทถนนข้าวสาร
ในระหว่างนั้นผู้ชุมนุมเริ่มมี การใช้อาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น ขว้างแก๊สน้ำตาใส่ ขว้างระเบิดเพลิง (โมโรตอฟ)
จนกระทั่งมีการเปิดถังแก๊สใส่ท หาร (โชคดีที่ไม่มีใครจุดไฟ มิเช่นนั้นทหารรวมทั้งผมคงถูกไฟคลอกตายแน่)
จนกระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่สุด ก็เกิดขึ้น ...
ผมจำได้ติดตาเลยว่า ตอนนั้นมีระเบิดควันลูกหนึ่งโยนมาตกที่บริเวณแถวทหารหน้าสุด
ซึ่งตอนแรกทุกคนคิดว่าเป็นแก๊ส น้ำตา จึงรีบนำผ้าพันคอปิดจมูก และเตรียมถอยกลับออก
แต่ตอนนั้นทั้งทหารและผมก็โดนแก๊ส น้ำตา 3-4 ครั้งแล้ว จึงรู้โดยทันทีว่านั่นไม่ใช่แก๊สน้ำตา เป็นระเบิดควันเฉยๆ
ผมได้ยินเสียงผู้พันสั่งว่า “ไม่ใช่แก๊ส ไม่ต้องถอย ตั้งแนวต่อไป”
แถวทหารก็เริ่มตั้งแนวและผลักดัน ต่อ ผมเองก็ค่อยๆเดินตามหลังแถวทหาร ไป
หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณหน้าแถวทหาร (ห่างจากเท้าของทหารแถวแรกไม่กี่เมตร)
ผมยอมรับตามตรงว่าทั้งชีวิตไม่ เคยเห็นระเบิด M79 มาก่อน แต่สิ่งที่เห็นคล้ายกับประทัดยักษ์ระเบิดที่พื้นถนน
แต่ปกติประทัดยักษ์ควรจะมีแต่เสียง ดังกับควัน แต่สิ่งที่เห็นกลับมีประกายไฟกระจายออกมาด้วย
ผมก็คิดอยู่ว่า “ทำไมประทัดมันมีประกายไฟด้วย”
จุดที่ระเบิดตกห่างจากผมไปราวๆ 10 เมตร หลังจากนั้นก็มีอีกลูกหนึ่งตก หลังผมไปทางหน้าแนวทหารที่ 2
ผมได้ยินเสียงผู้การสั่งว่า “มันเล่นของจริง ทุกคนถอย”
หลังจากนั้นแถวของเราก็แตกถอยมา ด้านหลัง นายสิบพยาบาลของผมคนหนึ่งดึงผม ให้หลบออกมาทางฟุตบาทให้หลบ
ผมหันหลังกลับมาทางถนน เห็นคนเจ็บนอนเลือดอาบอยู่ราวๆ 10-20 คน
ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นทหารเป็นลูก น้องในกองพันของผม บางคนเมื่อวานเพิ่งมาขอยา บางคนยังเคยกินข้าวด้วยกันไม่นานนี้เอง
ตอนนั้นผมยอมรับจริงๆว่าเบลอไป หมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทำด้วยสัญชาตญาณ
ภาพที่เห็นคือทหารนอนเลือดอาบ ตาลอย ตามร่างกายมีสะเก็ดระเบิด และบางคนมีรูกระสุนปืนด้วย
เพื่อนทหารต่างพากันช่วยลากออก มาจากจุดที่ระเบิด
ร้องเรียก “หมอ ช่วยด้วย” “หมอ ดูเพื่อนผมด้วย” “หมอ หมอ ช่วยเพื่อนผมด้วย”
บรรยากาศตอนนั้นหลายท่านคงเห็น จากในคลิปวีดีโอหรือในสื่อต่างๆ
แต่ ณ สถานที่เกิดเหตุจริงมันยิ่งกว่า นั้น มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งตกใจ ทั้งหดหู่ ทั้งเศร้าใจ
แม้ว่าผมจะเป็นแพทย์ แต่สิ่งที่ทำได้ผมก็ทำได้เพียงเข้าไปช่วยลากคนเจ็บ เข้าไปช่วยกันห้ามเลือดด้วยผ้า พันคอ
เพราะตอนนั้นทั้งตัวไม่มีอุปกรณ์ อะไรติดตัวเลย มีแต่ stethtoscope (หูฟัง) ไม่มีสายรัดห้ามเลือด ไม่มีผ้าพันแผล
สมัยเป็น นพท.ปี 6 ผมเคยเรียนวิชาเวชปฎิบัติการยุทธ (ปฎิบัติการเพชราวุธ) ผมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้คือ Care under fire
แต่ผมเพิ่งจะเข้าใจจริงๆว่า หัวใจของ care under fire คือ เอาชีวิตตัวเองให้รอด
แล้วเอาคนเจ็บออกจากบริเวณสังหาร (Killing zone) ให้เร็วที่สุด
ลืมเรื่องการปฐมพยาบาล ลืมเรื่อง primary survey หรือ ABCD ที่เคยเรียนไปได้เลย
เพราะขณะช่วยเอาคนไข้ออก ก็มีทั้งระเบิด M79 ระเบิดขว้างลูกเกลี้ยง M26 เสียงปืน
(ตอนหลังเพื่อนผู้หมวดบอกว่าเขา มีทั้ง M16, AK47 และปืนพก)
ขณะนั้นรถกู้ภัย รถพยาบาล จอดอยู่บริเวณหัวถนนตะนาว ใกล้กับวงเวียนบางลำพู
รถไม่กล้าขับเข้ามาเพราะยังมี ระเบิดตกอยู่เรื่อยๆและมีเสียง ปืนดังอยู่ตลอดจากฝั่งผู้ ชุมนุม

ผมวิ่งไปเรียกตรงกลางทางให้รถ พยาบาลเข้ามา (แต่ตอนนั้นก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่กล้าขับรถเข้ามาหรอก)
ขอบคุณพี่ๆกู้ภัยหลายคนช่วงนั้น ที่เสี่ยงตายวิ่งเข้ามาช่วย พวกเราลากผู้ป่วย
ตอนนั้นผู้ป่วยทั้งหมดถูกลำเลียงออก มารวมกันบริเวณเกาะกลางถนนตรง แยกบางลำพู
ผมช่วยกันลำเลียงผู้ป่วยออกมา ได้ 2-3 คน ใส่รถกู้ภัย หลังจากนั้นพอจะกลับเข้าไปช่วย
สิ่งที่เห็นก็คือฝ่ายตรงข้ามก็ ยิงระเบิดไล่หลังมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงหัวถนนตะนาวตรงหัว มุมวัดบวรนิเวศฯ
ทหารฝ่ายเราต้องเริ่มคว้าปืนมา ยิงคุ้มกันให้พวกที่ลำเลียง ผู้ป่วยออกมาตรงฟุตบาท 2 ข้างของถนนตะนาว
ผมไม่สามารถเข้าไปในบริเวณถนนตะนาว ได้อีกแล้วเพราะบริเวณนั้น กลายเป็น killing zone
ผมจึงต้องหลบอยู่หลังรถกู้ภัยตรง วงเวียนบางลำพู (พร้อมๆกับบอกให้พี่ๆกู้ภัยก้มหัวหมอบ ต้องเอาชีวิตตัวเองรอดก่อนไปช่วยคนอื่น)
จุดนั้นมีการปะทะอยู่นานประมา ณ 15-20 นาที
ฝ่ายอำนวยการของผมแจ้งให้ทราบใน ภายหลังว่านับระเบิด M79 ได้เกือบ 15 ลูก ระเบิดขว้าง M26 อีก 2 ลูก
รวมทั้งมีพลทหารคนหนึ่งซึ่งผม ไปรับหลังจากกลับจาก รพ. บอกผมว่า
เขาเห็นแสง laser pointer สีเขียวคอยส่องอยู่แถวศีรษะของทหารแถวหน้า
คาดว่าน่าจะมีคนซุ่มยิงมาจากบ ริเวณอาคารสูงบริเวณแยกคอกวัว
แต่คงไม่พบเป้าหมายซึ่งคาดว่าจะ เป็นผู้บังคับบัญชา เพราะแต่ละคนต่างกระจาย ไม่รวมกัน และมี รปภ. คุ้มกันไม่มากนัก
หลังจากนั้นเราได้ลำเลียงผู้ป่วย ทั้งหมดขึ้นรถพยาบาลได้หมด
ฝ่ายนั้นเริ่มยิงตอบโต้มากขึ้น ผมเห็นไม่ปลอดภัยจึงขอให้รถกู้ ภัย รวมทั้งรถจี๊ปพยาบาลไปหลบอยู่ใน ซอยบางลำภู
ฝ่ายนั้นก็ยังคงพยายามยิงระเบิด ใส่ท้ายขบวนรถของเราที่จอด อยู่ถนนริมวัดบวรนิเวศฯ
ซึ่งคาดว่าหากไม่มีทหารของเรา ที่คอยยิงคุ้มกันตอนลำเลียง ผู้ป่วยและถอยกลับ
รถหลายคันคงถูกยิงระเบิด ทหารและประชาชนแถวนั้นคงตายอีกเป็นจำนวนมาก
ต่อมาผู้บังคับหน่วยของเราจึงขอ หน่วยเหนือในการถอนกำลัง ซึ่งกว่าจะเคลื่อนย้ายออกไปได้ หมด ก็ต้องใช้เวลานานเพราะรถมีจำนวน มาก
และการจราจรแถวนั้นก็ถูกปิดกั้น บางส่วน แถมตอนเราถอนตัวฝ่ายตรงข้ามก็ ยังพยายามยิงระเบิดใส่พวกเรา อีกด้วย
ในช่วงก่อนถอนตัวผมจำได้ว่ามี เด็กวัยรุ่นใส่เสื้อแดง 2 คน ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดข้างๆรถจี๊ปพยาบาล แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยั่วโมโหว่า
“หน่วยพยาบาลคงไม่โดนอะไรหรอก มั้ง มีคนตายด้วย พวกพี่ยิงคนเหรอ”
ผมยอมรับว่าแม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่ คนอารมณ์ร้อน แต่จากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาที่ประสบ ผมเลือดขึ้นหน้า อารมณ์ตอนนั้นคุกรุ่นเต็มที่
ผมพูดจริงๆ ผมอยากลงไปต่อยเด็กคนนั้น แต่ผมก็อดทนแล้วตอบกลับไปว่า
“แล้วทีพวกน้องยิงระเบิดใส่พวก พี่ล่ะ น้องยิงทั้งระเบิด น้องขว้างทั้งระเบิด แถมเอาอาวุธสงครามยิงใส่ทหาร
ทหารแถวหน้าเค้ามีแต่โล่กับกระบอง ป้องกันตัวเองอะไรไม่ได้เลย เค้าก็มีครอบครัว มีลูกมีเมีย
แล้วนี่ที่ทหารยิงก็เพื่อคุ้มกัน คนเจ็บกับตอนถอนตัว แล้วน้องจะให้ทหารเอาโล่กับกระบองไปไล่ตีไอ้พวกที่ยิงระเบิดใส่หรือไง
น้องไสหัวไปเลย ไสหัวไปหลบ ระวังลูกหลงจากระเบิดที่พวกน้องยิงมาด้วยแล้วกัน”
เด็กคนนั้นอึ้งไปแล้วก็ขี่รถมอ เตอร์ไซด์ออกไป
เราถอนตัวออกจากจุดตรงแยกคอกวัว เป็นหน่วยสุดท้ายกลับที่รวมพล เดิม
ซึ่งก็หลงทางไปทางวังสวนจิตรลดา เนื่องจากเราไม่ใช่ทหารกรุงเทพ จึงไม่รู้เส้นทาง
คืนนั้นพอผมกลับมาได้ พบกับผู้พัน พบกับผู้กองและเพื่อนผู้หมวด จึงได้รู้ว่าในขณะที่หน่วยของผมถอนตัวออกมาทางถนนตะนาว

มีอีกกองร้อยที่ต้องถอยร่นออก มาทางถนนข้าวสาร โดยมีผู้บังคับกองพันอีก 2 คน และรองผู้บังคับกองพันอีกคน
ผู้พันคนหนึ่งถูกยิงจากฝั่งตรง ข้ามเข้าที่สีข้าง เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามกราดยิงปืนซึ่งคาดว่าเป็น M16
เพื่อนผมบังผู้พันของเขาอยู่แต่ก ระสุนเฉี่ยวข้างตัวไปถูกผู้พัน
แต่ที่น่าเศร้าคือมีนายสิบของต่าง หน่วยอีกคนถูกยิงทะลุหมวก เหล็ก เสียชีวิตคาที่ นายสิบที่เป็น รปภ. หลายคนก็ถูกยิงเข้าที่ขา
โชคดีมากๆ และต้องขอขอบคุณเจ้าของผับแห่ง หนึ่งที่ถนนข้าวสาร
ที่เปิดร้านนำคนเจ็บเข้ามาให้เด็ก ในร้านช่วยปฐมพยาบาล ทำแผล ห้ามเลือด
ปิดประตูหน้าร้าน และติดต่อตำรวจและรถกู้ภัยให้มารับที่หลังร้านซึ่งทะลุออกทางถนนอีกเส้นหนึ่ง
มีทหารประมาณ 1 กองร้อยที่ไม่สามารถออกมาขึ้นรถได้เพราะหลงเข้าไปในถนนข้าวสารและถูกปิดทางด้านถนนตะนาวไว้
ก็ต้องวิ่งออกมาทางถนนสามเสนไป ยังที่รวมพลซึ่งอยู่ห่างเกือบ 5 กม. แต่อย่างไรก็ตามทุกคนปลอดภัยดี
(ขณะนี้ผมได้ไปเยี่ยมทหารทุกคน ที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ทุกคนปลอดภัยดี และออกจาก ICU ได้หมดแล้ว)
ในขณะที่เกิดเหตุการณ์โทรศัพท์ มือถือของผมแบตหมด พอกลับมาชาร์ทแบต ก็พบว่ามีหลายคนโทรเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของผมที่ วพม.
ผมโทรกลับไปจึงทราบว่ามีนายทหาร หลายคนถูกระเบิด
หนึ่งในนั้น arrest (เสียชีวิต) ก่อนมา รพ. ต่อมา CPR (ปั๊มหัวใจ) ขึ้น และต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองด่วน
ซึ่งนายทหารคนนั้นเป็นเพื่อนกับอาจารย์ ที่พระมงกุฎของผม แต่อาจารย์จำผิดคนคิดว่าเป็นผู้ บังคับกองพันของผมจึงรีบโทรหา ผม
แต่มือถือผมแบตหมด จึงให้เพื่อนติดต่อ
ในภายหลังจึงทราบว่าคือ พี่เปา (พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) ซึ่งอยู่รุ่นเดียวกับผู้พันของ ผม
คืนนั้นผมกินข้าวไม่ลง กว่าจะนอนตาหลับได้ก็เกือบตี 3 ซึ่งภายหลังอาจารย์ก็โทรมาบอกว่า พี่เปาเสียแล้ว ให้บอกผู้พันผมด้วย
ผมหลับไปกลางพื้นโรงเก็บรถที่ที่ รวมพล ตื่นขึ้นมาตอน 6 โมง ผมไม่ฝันร้าย แต่ผมอยากให้เรื่องที่ผมจำได้มันเป็นแค่ความฝัน
วันรุ่งขึ้นผมได้ไป รพ.พระมงกุฎ เพื่อติดตามผู้ป่วยและประสานงานกับอาจารย์ที่ รพ.พระมงกุฎ
วันนั้นเองผมได้ทราบว่ามีทหารของ ผมเกือบ 10 คนที่บาดเจ็บตอนปะทะช่วงแรก
และที่ถูกสะเก็ดระเบิด บาดเจ็บเล็กน้อย ที่ส่งไป รพ.วชิรพยาบาล
จ่าคนหนึ่งติดต่อมาว่าเขาติดอยู่ ที่วชิรพยาบาล แต่มีเสื้อแดงมาปิดล้อม
ทหารบางคนที่บาดเจ็บไม่มาก ทาง ER ให้คัดแยกอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
พอผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาส่งคนป่วย ของเขาที่เจ็บ ก็มาไล่กระทืบทหารของผมที่นอนอยู่ ทหารต้องหนีตาย บางคนต้องปีนดาดฟ้าหนี
แต่ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รพ.วชิรพยาบาล ที่ช่วยกันพาทหารไปหลบที่บริเวณ ที่ปลอดภัยหลัง รพ.
หาชุดไปรเวทให้ใส่ และให้พักอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยไปก่อน
ทหารบางคนเล็ดลอดออกมาได้ด้วยความ ช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย ที่เอาเสื้อเครื่องแบบใส่ทับ ให้ขึ้นรถกู้ภัย
เอาวิทยุกับอุปกรณ์ออกมาใส่กระเป๋า EMS แล้วมาส่งให้ที่รวมพล
ผมเห็นทหารหลายๆคนเจ็บ เห็นทหารที่เป็นลูกน้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็บ
ผมอาจจะโชคดีที่ไม่บาดเจ็บอะไร (แต่ตอนหลังมาคิดก็ยังคิดอยู่เลย ว่า รอดมาได้ยังไงเนี่ย ^_^)
แต่บาดแผลในจิตใจก็มีอยู่ในหัวใจ ทหารทุกๆคน ผมน้ำตาซึมทุกวันที่ไปเยี่ยมลูกน้องที่เจ็บ

ผมเห็นผู้การ รองผู้การ ผู้พันของผมพยายามกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่เห็นลูกน้องตัวเองเจ็บ
เฉพาะหน่วยของผม มีคนเจ็บที่ต้องนอน รพ. เกือบ 80 คน บาดเจ็บเล็กน้อยที่ไม่ได้นอน รพ. อีก 60 กว่าคน
ผมขอเถอะครับ ...
มีประชาชนบางคนถามผมว่าผมโกรธเสื้อ แดงมั้ย ผมแค้นเค้ามั้ย ผมตอบไปว่า แม้ผมจะรู้สึกโกรธ แต่ผมแยกแยะได้
ผมเคยเจอผู้ชุมนุมทั้งที่ราบ 11 ที่ลาดหลุมแก้ว คนส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่จะมาชักปืนยิงใส่หรือโยนระเบิดใส่
เกือบทั้งหมดเป็นคนธรรมดาที่เค้า มาเรียกร้องในสิ่งที่เค้า ต้องการ แต่เราอย่าตกเป็นเครื่องมือของ คนบางคน
(จะเป็นใครผมก็ไม่ทราบ แต่น่าจะคิดกันได้นะครับ)
อย่าให้ใครบางคนใช้ทั้งคนเสื้อ แดง ใช้ทหารเป็นเพียงหมากบนกระดาน ให้เราต่างฝ่ายต่างเจ็บต่างล้ม ตายเพื่อผมประโยชน์ของคนบางคน
ประเทศเราจะล่มสลายอยู่แล้วนะ ครับ เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ประเทศชาติ อย่าให้ใครแค่ไม่กี่คนมาทำลายประเทศไทยของเราเลย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตก็ยังมีเรื่องดีๆ
ขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆร่วมชาติ ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือคน เจ็บโดยไม่แบ่งสีไม่แบ่งความ คิด
ผมซาบซึ้งในน้ำใจของทุกๆท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ผมคงไม่สามารถพาคนเจ็บออกมาได้ขนาดนี้ ดีไม่ดีผมอาจจะโดนไปด้วยก็ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ตลอดระยะเวลาที่เรียนในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ผมรับรู้รับทราบมาโดยตลอดถึงภารกิจของแพทย์ทหาร
ถึงตอนนี้อารมณ์ของผมจะตกอยู่ใน ความเศร้า ตกอยู่ในความหดหู่
แต่ผมก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ ของแพทย์ทหาร ที่ได้ทำหน้าที่เป็นวีรบุรุษในแนวหน้า (Heroes in the front line) อย่างที่ทหารขนานนามเหล่าแพทย์ ของเรา
ถึงแม้ว่า “การเป็นแพทย์ทหารนั้นมันเหนื่อย”
แต่มันก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้า ที่เป็นแพทย์ทหารของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
ได้เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนาง เจ้าพระบรมราชินีนาถ
ภาพที่ได้ประสบมา ผมคงจดจำไปจนวันตาย (เพราะตอนนี้มันติดตาแล้วครับ ลืมไม่ลง)
ขอให้พระบารมีของพระองค์ท่านคุ้มครองเพื่อนทหารและประชาชน ทุกคนให้ปลอดภัย และคุ้มครองให้ประเทศชาติของเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
ท้ายที่สุด ... ขอคารวะหัวใจของพี่น้องผองเพื่อนทหารจากใจจริง

แพทย์ทหาร

 

Sincerely Yours,

 

 

คำสำคัญ (Tags): #แพทย์ทหาร
หมายเลขบันทึก: 353423เขียนเมื่อ 23 เมษายน 2010 11:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 17:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีค่ะ

  • ขอขอบพระคุณค่ะ
  • สำหรับข้อมูลที่นำมาให้อ่านค่ะ
  • เศร้าค่ะ

สวัสดีค่ะอาหนุ่มกร

มาทักทายค่ะ

แต่ไม่ได้อ่านข้อความเลยน่ะค่ะ

อิอิ

P 

เห็นภาพแล้วน้ำตาไหลครับ

ผู้บาดเจ็บยังถือธงเหลืองสัญญลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวไม่ยอมปล่อย

 

 

"แม่เป็นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งที่อยากจะออกมาให้กำลังใจเทหารเท่านั้นเพราะแม่ไม่กี่ยวเรื่องสีเสื้ออยู่แล้ว" ลูกสาวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สีลม

จากอินเตอร์เนต

คุ้นๆเหมือนเคยอ่าน fwแล้วค่ะ

ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ

แวะมาเยี่ยมค่ะ

เศร้าที่สุดค่ะคุณหนุ่มกร .. หากแต่กรรมใดใครก่อ จักตอบสนองในเร็วนี้ค่ะ ...

สายัณห์      ลากลับ               ลับขอบฟ้า

  • ประดุจ       มนตรา               มากความหมาย
  • ฟ้าสงบ       เมฆเงียบงัน               พลันมลาย

ขอให้ทุกดวงวิญญาณ บริสุทธิ์ไปสู่สุคติค่ะ

  • เพื่อเริ่มต้น   วันใหม่               ได้เบิกบาน
  • สวัสดีครับ หนุ่มกร

    ผมดูทีวี..ยังคิดอยู่ว่านี่หรือประเทศ

    ทำไมถึงปล่อยให้ผู้คนละเมิดกฏหมายกันทั่วบ้านทั่วเมือง

    จนกลายเป็นลัทธิเอาอย่าง กันทุกหนทุกแห่ง

    อย่างที่ขอนแก่น  ที่แพร่ ที่โคราช ทำไมๆๆๆ

    แต่พอถามน้องที่มาจากขอนแก่น..เขาบอกว่า

    มันพวกเดียวกัน..ทหารแตงโมสั่งเสื้อแดง..กัก

    ขอบคุณที่นำบันทึกดีๆ นี้มาให้อ่านค่ะ

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท