ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่บรรลุอะไรเลยก็ตามแต่ แต่ก็เดินทางทำ ลองผิด ลองถูกมาค่อนข้างไกล จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าเดินทางมาทางไหน อย่างไรบ้าง ถ้ามีคนถามว่า เดินมาถึงนี้ได้อย่างไร คงตอบไม่ถูกเหมือนกันขอรับ ทราบแต่ว่า แต่ละขั้นที่ผ่านมานั้น แตกต่างกันหนักหนา จนยากที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่ก็ขอบันทึกเคล็ดทำ ณ วันเวลานี้เอาเก็บไว้กลับมาดูร่องรอยประมาณนี้ขอรับ
ผมเข้าใจว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาและกำลังจะไปนั้นมุ่งไปสู่ "การละตัวตน" ตามรู้กายตามรู้ใจตามความเป็นจริง เพื่อละกายละใจนั่นเอง มีตนกับไร้ตนอันเดียวกันไม่แบ่งแยก เมื่อไร้ตน ฝุ่นทุกข์ก็ไม่มีที่เกาะ ก็ไม่มีทุกข์ มีทุกข์กับไร้ทุกข์ก็อันเดียวกัน เมื่อไม่มีตนก็จะมีปัญญาเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริงได้มากขึ้นนั่นเอง
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ
* ภาวะไร้ตัวตน ผมมีบ้างเหมือนกันครับ แต่มีแว็บๆ มาแค่แว็บเดียวแล้วก็ไป
* วันไหนอารมณ์ดี สบายๆ ไม่มีอะไรมารบกวน ผมก็เหมือนกับไม่มีตัวตนครับ ไม่ต้องไปคิดอะไร มีปัญหาเรื่องอะไร คำตอบมันจะออกมาเองครับ
* แต่สภาพดังกล่าว เกิดขึ้นไม่นานหรอกครับ ประมาณ 5 นาที 10 นาที สภาพจิตก็กลับมาเหมือนเดิมอีก และยิ่งมีอะไรมากระทบ จิตก็จะยิ่งปั่นปวนเร็วมากครับ พักเดียวจิตก็ขุ่นฟุ้งซ่านไปหมด ทีนี้ ก็เป็นอยู่นานครับ
สวัสดีปีใหม่ไทยขอรับ ท่าน small man
ขอบคุณมากครับ ผมมีประเด็นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยครับ
ผมอ่านเจอมาบางท่านบอกว่าเวลาจิตฟุ้งซ่าน นั่งสมาธิไม่ได้ ดูลมหายใจก็เอาไม่อยู่ จะให้หยุดคิด ก็หยุดไม่ได้ ท่านให้ไปเฝ้าดูความคิดแทนครับ ไม่ต้องหยุดคิด แต่ไปดูความคิดว่าที่เราคิดนั้นคิดเรื่องอะไร คิดดี หรือ คิดไม่ดี โดยดูแล้วให้แยกออกมาในแตละความคิด ว่าอยู่ฝ่ายคิดดี หรือ คิดไม่ดี โดยตัวเราที่เฝ้าดู อยู่ตรงกลาง
คุณเด็กข้างบ้านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ
ขอบคุณครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
กับเส้นทางแห่งการฝึกตน
ขอบพระคุณสำหรับบทเรียนธรรมครับ...
เรียน ท่าน small man อีกครั้งขอรับ
ผมอ่านเจอมาบางท่านบอกว่าเวลาจิตฟุ้งซ่าน นั่งสมาธิไม่ได้ ดูลมหายใจก็เอาไม่อยู่ จะให้หยุดคิด ก็หยุดไม่ได้ ท่านให้ไปเฝ้าดูความคิดแทนครับ ไม่ต้องหยุดคิด แต่ไปดูความคิดว่าที่เราคิดนั้นคิดเรื่องอะไร คิดดี หรือ คิดไม่ดี โดยดูแล้วให้แยกออกมาในแตละความคิด ว่าอยู่ฝ่ายคิดดี หรือ คิดไม่ดี โดยตัวเราที่เฝ้าดู อยู่ตรงกลาง
... ประสบการณ์แต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันได้ ส่วนตัวกระผมนั้น เป็นคนดิบเริ่มจาก 0 จึงทำให้ต้องฝึกปฏิบัติเฝ้าดูเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง อยู่เป็นเวลากว่า 2 ปีขอรับ บางครั้งก็ไปเรียนวิชาอื่น ๆ มาทดลองฝึกปะปนกันไป จนแทบจะจำร่องรอยที่ผ่านมาไม่ได้ขอรับ
...ตามดูไปเรื่อย ๆ จะเกิดความชำนาญ จนสามารถเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตแบบอัตโนมัติ มาเป็นการเกิดสติเป็นอัตโนมัติ ... ผู้ดูจะเข้มแข็งและเป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้น
...เมื่อผู้ดูเข้มแข็งมีสติเป็นอัตโนมัติขึ้นระดับที่ใช้การได้ ก็จะเห็นความจริงของความคิด หรือจิตว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ก็คือ เห็นอนิจจังของกิริยาจิตนั่นเองขอรับ
...มีสติตามดูเรื่อย ๆ เห็นอนิจจังของจิตมากขึ้น ก็จะเห็นความจริงเป็นปรมัตมากขึ้น ๆ จนเริ่มสงสัยว่า จิต ไม่ใช่ เรา ... คราใดที่กระโดดออกมานั่งดูจิตแล้วมีปัญญาชั่วคราวเห็นว่า จิตไม่ใช่เรา ก็จะพ้นทุกข์ (ชั่วคราว)
...การจะเห็นอนัตตานั้น ยากจริง ๆ ขอรับ ผมเองก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ยึดบ้าง วางบ้าง ไปตามประสาอยู่ขอรับ
...เป็นประสบการณ์ส่วนตน อาจไม่ถูกต้องทั้งหมดขอรับ ต้องคอยให้ท่านผู้รู้มาชี้แนะต่อไปขอรับ
ขอบพระคุณอีกครั้งขอรับที่กรุณามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สวัสดีขอรับ Phornphon
ขอบคุณที่แวะมาทักทายขอรับ
และขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียผู้มีพระคุณอันเป็นที่รักอีกครั้งหนึ่งด้วยครับ
โชคดีวันนี้ไปพบธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์ปราโมทย์ใน Youtube จึงนำมาใส่ไว้ในบันทึกเป็นธรรมทานต่อขอรับ