ครูกระดาษทราย
นางสาว ปัญชรีย์ ปิ่น วชิรถาวรชัย

ทบทวนชีวิตตัวเอง


น่าแปลกนะคะ ที่คนเราจะจำเรื่องที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำไว้กับตัวเองได้แม่นยำ และไม่มีวันลืมเลย....

เมื่อฉันยังเด็ก ฉันเป็นเด็กที่ดื้อมาก เอาแต่ใจตัวเอง เป็นเด็กขี้โรค
 เข้่าออกโรงพยาบาลบ่อยเพราะมีโรคประจำตัว
ตอนเรียนชั้นประถม วันไหนที่มีเรียนวิชาพลศึกษาฉันจะร้องไห้ งอแงทุกครั้ง
จนผู้ปกครองสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนหรือเปล่า? เมื่อสอบถามไปยังครูประจำชั้นก็พบว่า
ฉันเกลียดวิชาพลศึกษา ฉันออกกำลังกายหนักๆไม่ไ้ด้ เพราะร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง และครูพละก็ดุมาก
จนฉันกลัวและพาลเกลียดวิชานี้ในที่สุด จนขึ้นชั้น ป.3 ฉันจำได้ว่า ฉันไม่ค่อยถูกกับวิชาพลศึกษา
สาเหตุมาจาก คุณครูสอนเล่นบาสเกตบอล กำลังอธิบายวิธีีการเล่นให้กับนักเรียนทุกคนอยู่
คุณครูเห็นนักเรียนชายคนหนึ่งเคี้ยวหมากฝรั่งและคุยกับเพื่อน จึงโมโหและทุ่มลูกบาสใส่
แต่ลูกบาสกระเด็นมาโดนหน้าฉันเต็มๆ  ฉันตกใจมาก และคิดว่าตัวเองผิดที่คุยกับเพื่อน
 ซึ่งความจริงแล้วคุณครูต้องการเอาบาสโยนใส่นักเรียนชายคนนั้น
  คุณครูก็ตะคอกใส่ฉันให้รีบไปเก็บลูกบาสมา และก็บอกให้ฉันออกมาสาธิตการรับและส่งบาส
 นั่นเป็นเรื่องที่แย่มากในความคิดของฉัน ฉันร้องไห้ไม่ยอมหยุด เพราะเจ็บจมูกที่โดนลูกบาส
เพื่อนๆพากับตลกขบขันมาก อายเพื่อนยังไม่พอ  มาโดนครูตวาดใส่แบบนี้ฉันเลยเกลียดคุณครูคนนั้นไปเลย
นี่เป็นสาเหตุที่ฉันเกลียดวิชาพลศึกษาและบาสเกตบอลที่สุด มันเป็นครั้งแรกที่ได้เรียนเรื่องนี้และเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตนักเรียนของฉัน จากนั้นมาฉันก็ไม่ชอบวิชานี้
ตอนอยู่ชั้นป.3 วิชาดนตรี มีคุณครูผุ้ชายคนหนึ่งดุและน่ากลัวมาก ครูให้คัดบทเพลงชาติไทยและสรรเสริญพระบารมี ส่ง
ในห้องมีอยุ่เกือบครึ่งห้องที่ทำไม่เสร็จ ครูโมโหมาก หยิบไม้ที มาตีนักเรียนที่ทำไม่เสร็จ
ฉันกลัวจนร้องไห้เลย เพระงานที่คุณครูสั่งมันเยอะเกินไป สำหรับเด็กชั้น ป.3  
คุณครูสั่งให้เด็กที่ทำงานไม่เสร็จออกมาเข้าแถวเรียงหน้ากระดา่น เพื่อทำโทษ....
ก่อนจะตีคุณครูจะซักถามถึงสาเหตุที่ทำการบ้านไม่เสร็จ  ฉันจำได้เลือนลางว่า
 ฉันร้องไห้ ปนสะอื้น บอกว่า วันเสาร์อาทิตย์ ช่วยแม่ทำงานบ้าน อะไรเนี่ยมั้ง... คุณครูตี 3 ที  น้อยที่สุดในชั้น เพราะฉันตัวเล็กและค่อนข้างขี้โรค พอกลับไปถึงบ้านแล้ว ฉันก็เป็นไข้
   วันไหนเรียนวิชาดนตรี ทุกคนจะกลัวคุณครูคนนี้กันมากๆ แต่ตอนหลังๆมา คุณครูก็รู้ตัวนะคะ ว่านักเรียนกลัว
   ครูจึงผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเองและเป็นกันเองกันนักเรียนมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
พอขึ้นชั้นป.4 ตอนที่กำลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่นั้น เพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งแกล้งครูด้วยการแอบเป่านกหวีด  เมื่อครูหันไปเขียนกระดานเขาก็เป่านกหวีด ทำแบบนี้ 2-3 ครั้ง เขานั่งข้างหลังฉัน
คุณครูหันมาถามว่า "ใครทำเสียงประหลาด?" "บอกมานะ" ฉันนั่งอยู่ข้างหน้าสุด และตรงกับนายคนนั้นพอดี
ฉันทำหน้าไม่รู้เรื่อง ก็ำไม่รู้จริงๆนี่...คุณครูทนไม่ไหว จึงหันมาตบหัวฉันและดึงโต๊ะฉันไปค้นดู
 "เธอ...เธอใช่ไหม? ไหนเอานกหวีดนั่นออกมาเดี๋ยวนี้...." ฉันทำหน้างง เพราะไม่รู้จริงๆว่าใครเป็นคนทำ
เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างๆฉัน หันไปบอกเพื่อนคนที่ทำว่า ให้สารภาพกับครู ตอนแรกเขาไม่ยอมรับ  ปล่อยให้ฉันรับเคราะห์อยู่แบบนั้น
 สุดท้ายนายคนนั้นก็ยอมออกไปหาครูที่โต๊ะ แต่จากเหตุการณ์นั้น ฉันเลยไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์เพราะคุณครูใจร้าย ไม่มีเหตุผล
 ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว เหตุการณ์สมัยชั้นประถมที่เลวร้ายที่สุดก็มีอยู่ 3 เรื่องนี้ที่ฉันจำได้ขึ้นใจ และจะไม่มีวันลืม  
 นอกนั้นเป็นเพราะฉันทำผิดเองเลยโดนครูตี
แต่ฉันก็รักโีรงเรียนแห่งนี้มาก เพราะมีคุณครูอีกหลายท่านที่ฉันเคารพนับถือ
พอขึ้นชั้นมัธยมฉันไม่เคยโดนครูตีด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก ฉันก็ทำตัวเหมือนนักเรียนที่ดีทั่วๆไป
ไม่เคยโดดเรียน เว้นแต่ครูไม่เข้าถึงออกไปอยู่ที่อื่น เช่น ห้องสมุด ฉันไม่แน่ใจว่าจากเหตุการณ์ชั้นป.4
ในวิชาคณิตศาสตร์นั้นทำให้ฉันเรียนไม่เข้าใจหรือเปล่า? เพราะถึงแม้ว่าจะขึ้นชั้นสูงขึ้น เจอครูที่ดีแค่ไหนก็ตามฉันไม่เคยชอบวิชาเลขเลย
 ทั้งๆที่ฉันอยากเป็นหมอมากๆๆ ฉันสอบตกคณิตเป็นว่าเล่น ตั้งแต่ ม.2
วิชาอื่นๆไม่มีปัญหา อ้อ..วิชาพลศึกษาก็ไม่ชอบ แ่่ต่ก็ไม่เคยสอบตก พอขึ้นชั้นม.ปลาย ฉันมีปัญหาตรงที่ว่า
ไม่ชอบวิชาเลขก็เรียนสายวิทย์ไม่ได้ เรื่องอยากเป็นหมอก็ล้มเลิกความคิดไป
ฉันจึงไปปรึกษากับครูแนะแนว  ครูทราบว่าฉันชอบวาดรูป  จึงแนะนำให้ไปเรียนต่อ  วิจิตรศิลป์ ฉันก็คิดว่าน่าจะดี สำหรับคนหัวปานกลางอย่างฉัน  
 แต่พอมาปรึกษากับผู้่ปกครองแล้ว ทั้งพ่อและแม่ไม่ยอมให้เรียนเด็ดขาด  พ่อบอกให้เลือกเรียนสายวิทย์
  จริงๆพ่อก็อยากให้ฉันเป็นหมอ แต่ฉันไม่ชอบเลขนี่สิ ปัญหาใหญ่ ไหนจะ ฟิสิกส์ อีกละ... เคมี กับชีวะ ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะ ฉันชอบเรื่องร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
 ฉันเลยเลือกได้แค่ 2 สาย คือ ศิลป์-คำนวณ กับศิลป์-ภาษา (ฝรั่งเศส) ฉันตัดสินใจเลือกอันดับ 1 ฝรั่งเศส อันดับ 2 คำนวณ
 ผลประกาศออกมาตอนแรกฉันดีใจมาก ไม่ทันดูว่าตัวเองได้อะไร ฉันพูดกับเพื่อนรักที่เลือกฝรั่งเศสว่า
 "เฮ้ยแก...เราได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว" ที่ไหนได้...พอมาตรวจดูดีๆ ฉันได้สายศิลป์- คำนวณ
ฉันตกใจมาก นี่ฉันต้องเจอกับวิชาเลขที่ไม่ชอบไปอีกตั้ง 3 ปีเหรอเนี่ย?.......
           ฉันกับเพื่อนรักต้องแยกห้องกันด้วยความจำใจ ฉันได้เพื่อนใหม่ทั้งหมด เพื่อนจากชั้นม.3 ไม่มีเลย
แล้วฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนรักคนใหม่ ที่เรียนเก่งวิชาเลขมากๆๆ แตกต่างกับฉันราวฟ้ากับเหวเลยละ
เพื่อนคนนีี้้ช่วยติววิชาเลขให้ฉันตลอด แต่ฉันก็ยังตกอยู่ดีนั่นแหละ....
พอขึ้นชั้น ม.6 ฉันเพิ่งได้เรียนกับอาจารย์ที่เป็นเซียนในด้านการสอนวิชาเลข(ในความคิดของฉัน)
ท่านสอนเก่งมากๆๆ  มีเทคนิคและวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใคร ไม่น่าเบื่อ สามารถดึงความสนใจของนักเรียนไว้ได้ทั้งชั่วโมง
สอนเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆได้ในพริบตา ตอนนั้นฉันคิดในใจว่า ถ้าเรียนกับอาจารย์ท่านนี้ตั้งแต่ชั้นประถม
ฉันคงได้เป็นหมอสมใจ(พ่อ) แน่ๆ และความมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับฉัน นั่นก็คือ
เทอมสุดท้าย "ฉันสอบผ่านวิชาเลข" (ความจริงแล้วเพื่อนรักแอบส่งโพยให้ตอนสอบต่างหากละ อิอิ)
เมื่อการสอบเอ็นทรานซ์มาถึง   ฉันและเพื่อนๆไม่ค่อยกระตือรือร้นในการสอบเรียนต่อเท่าไหร่นัก
คะแนนจึงออกมาแบบ....ต่ำเตี้ยติดดินเลย อ้อ ตอนสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ฉันไม่ได้ฟังคำชี้แนะจากกรรมการคุมสอบ
จึงไม่ทราบว่า เค้าให้ทำ 8 เรื่อง จาก 12 เรื่อง ฉันทำหมดทุกเรื่องเลย
 (มิน่าละ ก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมคนอื่นทำเสร็จเร็วกันจัง...ที่แท้เค้าก็ให้ทำแค่ 8 เรื่อง....)
  ฉันจึงถูกหักคะแนน ไม่แน่ใจว่าหักไปเท่าไหร่
เหลือ 45 คะแนน ซึ่งฉันน่าจะภูมิใจกับมันมากกว่านี้ ถ้าไม่โดนหักคะแนนน่ะ....เศร้า
                 ฉันเอ็นทรานซ์ไม่ติด...ฉันไม่แปลกใจเลย ฉันคิดว่้าไปเรียนที่ราชภัฏก็ได้ พอสอบเรียนต่อที่ราชภัฏ
          ก็สอบไม่ติดอีก  แม่ฉันผิดหวังในตัวฉันมากจนร้องไห้ ฉันจึงไปเรียนที่วิทยาลัยพลศึกษา เอกคอมพิวเตอร์ธุรกิจแทน
          เพื่อคั่นเวลา และสอบใหม่ในปีหน้า เมื่อฉันได้มาเรียนที่วิทยาลัยพลศึกษา ฉันมีความสุขมากๆ แม้จะเรียนหนักแค่ไหน ฉันก็สนุกกับการเรียนได้ทุกวัน
           ไม่มีเบื่อ อาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อนๆ ทุกคนใจดีมาก อยู่ที่นี่มีเรื่องน่าประทับใจมากมาย ฉันกับเพื่อนคนหนึ่งติวหนังสือกันเพื่อจะไปสอบเรียนต่อใหม่
เราแข่งกันว่า วิชาสังคม กับภาษาอังกฤษใครจะได้เกรด เอ  
       วันสอบมาถึง ฉันเข้าไปในห้องสอบ วิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ให้เอาดิกชันนารี่เข้าไปด้วย แต่ฉันไม่ไ่ด้เอาเข้าไป...เจ็บใจจริงๆ
        ผลสอบออกมา วิชาสังคมฉันได้ บีบวก แต่ อังกฤษได้เอ ฉันภูมิใจและสะใจมากๆ เพราะเพื่อนคนที่แข่งกันนั้นเอาดิกฯเข้าไปด้วย
         ฉันเลยเยาะเย้ยว่า "อะไรกัน นี่ขนาดนายเอาดิกเข้าไปด้วยยังไม่ได้เอเลยนะเนี่ย...." เพื่อนเลยตอกกลับมาว่า"เออ...คอยดูสังคมละกัน...."  
         สุดท้ายเราสองคนก็มาสอบเรียนต่อที่ราชภัฏด้วยกัน เราหวังว่าจะเรียนต่อ รัฐประศาสนศาสตร์  ด้วยกัน
แต่ฉันสอบได้ ภาษาไทย เพื่อนคนนั้นสอบได้ รัฐประศาสนศาสตร์   ตามที่ตั้งใจไว้
ฉันจึงได้มาเรียนที่นี่ ด้วยความรู้สึกหวั่นๆ เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร ในตอนนั้นฉันยังไม่มีความคิดอยากเป็นครูเลยด้วยซ้ำ
 ฉันคิดแค่ว่าเรียนอะไรก็ได้ให้มันจบ ปริญญาตรีก็พอแล้ว พอเรียนปี 3 ฉันกับเพื่อนๆในห้องจึงไปเรียน ปวค. ด้วยกัน
  ฉันไปเรียนที่วัดเจดีย์หลวงกับเพือน 1 คน อีก 5 คนนั้นไปเรียนที่วัดสวนดอกในตอนเย็นวันธรรมดา  
   เมื่อฉันเรียนจบ ป้าของฉันจึงให้แฉันมาทดลองสอนที่โรงเรียนดูว่าจะชอบไหม? และืที่นี่ก็ได้ให้อะไรกับฉันมากมาย
   ฉันยังไม่พร้อมที่จะเป็นครูเท่าไหร่นัก เพราะฉันเพิ่งรู้ว่า ครูชั้นประถมโรงเรียนเล็กๆ
ต้องสอนทุกวิชา....ฉันต้องปรับตัวอย่างมากในเนื้อหาแต่ละรายวิชาที่สำคัญๆ
ฉันถนัด สังคมกับภาษาไทยที่สุด  วิชาอื่นๆก็พอสอนได้  แต่ไม่ค่อยแม่นในเนื้อหาเท่าใดนัก
เมื่อฉันจะยื่ืนขอใบประกอบวิชาชีพครู คุรุสภาก็ประกาศ ออกมาพอดีว่า...ไม่รับรองหลักสูตรที่ มมร.
ประักอบกับเป็นช่วงที่ สมศ. มาประเมินโรงเรียนพอดี
ฉันจึงต้องออกจากโรงเรียนมาเพื่อมาตั้งหลักใหม่....และก็มาเรียนที่ราชภัฏอีกครั้ง เพื่อฝันของตัวเอง  
ฉันเพิ่งค้นพบตัวเองว่าชอบสอน  ชอบเป็นครู ชอบอยู่กับเด็กๆ  (ยกเว้นเด็กอนุบาล)  ฉันจะต้องเป็นครูที่ดีให้ได้

น่าแปลกนะคะ ที่คนเราจะจำเรื่องที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำไว้กับตัวเองได้แม่นยำ และไม่มีวันลืมเลย ฉันก็เช่นกัน ส่วนเรื่องที่ฉันทำไม่ดีกับคุณครูนั้นมีน้อยมาก และฉันก็มีคุณครูในดวงใจอยู่หลายคน ที่ฉันจะยึดเอาเป็นแบบอย่างที่ดี ส่วนพฤติกรรมใดๆที่คุณครูท่านแสดงกับลูกศิษย์ อาจจะด้วยโมหะ โทสะ ก็ตาม ฉันไม่ถือโทษโกรธเคืองท่านเหล่านั้น

เพราะถึงอย่างไรท่านก็ขึ้นชื่อว่าเป็นครู ที่รักและปรารถนาดีกับลูกศิษย์ทุกคนด้วยความจริงใจ ฉันอยากจะบอกคุณครูทุกๆท่านว่า พวกท่านเป็นคนจุดประกายความฝันให้กับฉัน

จากที่ฉันไม่เคยคิดฝันอยากจะเป็นอะไรเลยในชีวิตนี้..นอกจากหมอ ให้มีทางเลือกที่มั่นคงในชีวิจอีกทางหนึ่ง ขอบคุณจริงๆค่ะ

จากนี้่ต่อไปฉันจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในการเป็นครูที่ดี ถ้ามีโอกา่ส เราคงได้พบเจอกันอีกครั้ง ฉันจะกลับไปเยี่ยมพวกท่าน  ในวันที่ฉันประสบความสำเร็จในชีวิต  ฉันจะไม่ลืมพระคุณของท่านเลย ถ้าไม่มีพวกท่านที่คอยอบรมสั่งสอนฉันในวันนั้น ก็คงไม่มีฉันในวันนี้ ฉันมีความสุขทุกช่วงชีวิตของการเป็นนักเรียน ขอบคุณมากจริงๆค่ะ ที่ทำให้ฉันได้ค้นพบตัวเองในวันนี้ 

หมายเลขบันทึก: 351970เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2010 16:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท