"ฉลาดได้อีก" การสังเกต เชื่อมโยงไปเรื่อง การสอนงาน การฝึกสติ สมาธิ
เรื่องนี้มีที่มาตั้งแต่ไปงานสัปดาห์หนังสือ ไปที่ซุ้มของ อริยชน หนังสือเล่มใหม่ "ฉลาดได้อีก" เป็นหนึ่งเล่มที่ได้มา และตั้งใจอ่านเป็นเล่มแรก ซึ่ง อ.ดร.วรภัทร์ พูดถึงเรื่องของการสังเกต sensing ฐานกาย เมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งการสังเกตอะไรต้องไม่รีบด่วนตัดสิน พิพากษา ต้องดูให้จบ
ใจความสำคัญที่จับได้ ไม่น่าเชื่อว่าเชื่อมโยงกับเรื่องราวปัจจุบันของตัวเอง ทำให้เข้าใจ ได้ลึกขึ้น และเรียนรู้เร็วขึ้น
เรื่องแรก เมื่อวันที่ 5 เม.ย.หยุดงานเพื่อมาทบทวนความรู้เรื่อง Observation & Feedback เตรียมสอบภาคปฏิบัติ ในวันที่ 7 เม.ย. ตอนนั้นยังไม่ได้อ่านหนังสือ "ฉลาดได้อีก" การเป็นผู้เรียนในหลักสูตรนี้ ก็เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคนในองค์กร โดยเฉพาะผู้นำที่ทำหน้าที่สอนงานลูกน้อง วิทยากรเน้นย้ำว่า การอบรม ไม่เพียงพอที่จะทำให้คนพัฒนาต่อเนื่อง เราต้องมีการสังเกตพฤติกรรมหน้างานจริง และให้ข้อมูลป้อนกลับแก่ผู้ถูกสังเกต ฟังดูง่าย แต่ทำได้ยากมาก รู้เลยตอนไปสอบ ขั้นตอนการวิเคราะห์ เก็บข้อมูลของผู้ที่เราจะไปสังเกตนั้นไม่ยาก แต่ตอนจะให้ข้อมูลป้อนกลับ นี่สิ จะพูดอย่างไรให้เขายอมรับ โดยเฉพาะ corrective feedback ซึ่งเป็นจุดที่ควรพัฒนา
สิ่งสำคัญของผู้สังเกตการณ์ ต้องละเอียด รอบคอบ เป็นกลาง สังเกตทุกอย่าง เหมือนดูหนังให้จบทั้งเรื่อง ใช้ sensing รอบด้าน ไม่รีบด่วนตัดสิน (judgment) หรือ เอาความเป็นตัวเราไปตัดสินเขา ตรงกันข้ามต้องเอาความเป็นตัวเขามาใส่ในเรา
เรื่องที่ 2 เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 10-11 เม.ย. วางแผนจะไปเรียนการฝึกจิต สมาธิ กรรมฐาน บวกการปรับพฤติกรรมแนว Neurolinguistic Programming & Emotion Freedom Techniques ในคืนวันศุกร์ อ่าน "ฉลาดได้อีก" ไปเกือบครึ่งเล่ม ซึ่งเน้นการรู้ตัว มีสติเมื่อเกิดอารมณ์ต่างๆ ต้องจับให้ได้ว่าปรากฏอาการทางกายตรงจุดไหนบ้าง
ปรากฎว่า ตอนไปเรียน อ.ที่สอนเริ่มจาก NLP ที่ทดลองให้เราจินตนาการเหตุการณ์ที่ทำให้เรา สุข สำเร็จ รัก กังวล เศร้า แล้วสังเกตว่า พลังงานที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆ มากระทบร่างกายส่วนใดของเราบ้าง amazing ตรงที่เราพบกับอารมณ์เหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีเวลาได้สังเกตอาการทางกายของเราเลย
แต่แค่รับรู้อย่างเดียว ไม่พอ ในโปรแกรมนี้ สอนให้กำหนดจิต สลายพลังงานเหล่านี้เป็นละอองเล็กๆ แล้วถ่ายออกที่ฝ่ามือสองข้าง วิธีการฝึกมีขั้นตอนละเอียดลึกซึ้ง โชคดีของเราที่เรียน ชี่กง ทำให้เข้าใจ และมีสัมผัสการไหลของพลังงานในร่างกายและปลดปล่อยออกมาได้ ยอมรับว่า การฝึกนี้เป็นแค่ระดับอนุบาล เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง เราอาจจะปลดพลังงานออกไม่ทัน เช่น เวลาโกรธ ส่วนใหญ่จะจุกที่หน้าอก ปวดหัวใจ หรือบางคนอาจวิ่งขึ้นศีรษะ
พอเรียนวันแรก ต้องกลับมาอ่านหนังสือ "ฉลาดได้อีก" จนเกือบจบ เพราะมันช่วยให้เราเรียนการฝึกสมาธิโดยเน้นที่ฐานกาย ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น คิดว่าบทเรียนนี้ท้าทายมากๆ แต่ละวันจะต้องกลับมานั่งเงียบๆ เพื่อทำ self reflection ดูว่าวันนี้เราติดค้างอารมณ์ใดไว้ โดยเฉพาะ ด้านลบควรหาทางปลดปล่อยออก ส่วนด้านบวก ก็ควรจะปล่ยออกไปเช่นกัน เพราะส่งผลให้หัวใจทำงานหนักได้เช่นกัน
สรุปแล้วคิดว่า เป็นการตอกย้ำตัวเอง เรื่องใดๆ ที่วิ่งเข้ามาหาชีวิตเรา ณ ขณะใด ขณะหนึ่ง มีความหมายที่เชื่อมโยง เรียกว่า มี meaning ทั้งสิ้น และจะเป็นประโยชน์มากๆ หากเราสามารถคิดทุกเรื่องให้เชื่อมโยง ไม่แยกส่วน ก็จะทำให้เราบริหารจัดการข้อมูล ความรู้ที่เข้ามาให้เป็นระบบ และทรงพลังมากขึ้น
ความเห็น (4)
สวัสดีปีใหม่ไทย53 ค่ะ น้องส้มที่คิดถึง
ดีใจ ยินดีมาก ที่เห็นน้องเขียน โดยเฉพาะเรื่องนี้ ที่มีประโยชน์ นำไปใช้ได้
มีความสุขมากๆนะคะ
แหม่มเองค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ส้ม
นี่แหม่มเองนะคะ ยังจำได้มั้ยคะ เราเคยเจอกันครั้งแรกที่อัมรินทร์ปี่ก่อน ต่อมาเจอที่บ้านคริสเตียนสีลม บางครั้งเจอที่เสมฯ
นี่มาเจอที่นี่อีกแล้ว ตอนคลิกเข้ามาเห็นหัวข้อจากLinkที่ไหนสักแห่ง อ่านไปแล้วถึงเห็นว่าเป็นพี่ส้ม ยังนึกว่าบังเอิญทุกที
น้องเพิ่งเรียนจบ แกลับมาทำงานเหมือนเดิม
คิดถึงค่ะ
แหม่ม เป็นอย่างไร สบายดีหรือเปล่าคะ ตอนนี้กลับมาทำงานแล้ว มีความสุขดีไหมคะ ติดตามอ่านการเรียนรู้ของพี่ได้ ในบันทึกถัดไป อยากให้อ่าน เรื่อง การโค้ชเพื่อเสริมสร้างพลังชีวิต ค่ะ เผื่อสนใจโทรมาคุยได้นะคะ