จะเห็นว่าสถานการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างจะรุ่มร้อนตามฤดูกาล...แต่ไม่เคยมีใครที่จะหันหาความเย็นที่จะช่วยดับความรุ่มร้อนของจิตใจได้เลย โดยการ...ใช้สติ..เป็นตัวควบคุมให้จิตใจเราได้สงบ..และเย็น...ไม่เป็นไปตามกองเพลิงของกิเลสที่มีอยู่...
ซึ่งประจวบเหมาะได้มีโอกาสได้อ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชื่อเรื่อง " เดินสู่อิสรภาพ " ของคุณประมวล เพ็งจันทร์ ที่เป็นอานิสงค์อย่างหนึ่งจากน้องที่สนิทได้แนะนำและให้หนังสือเล่มนี้มาอ่าน เพื่อที่จะให้เราได้มีความรู้สึกเชื่อมั่นว่า โลกนี้ยังมีมุมของส่วนดีอยู่เสมอ ที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป และการทำให้เราเห็นถึงจิตใจของผู้คนในสังคมนี้ยังมีแง่ดีๆอีกหลายอย่างที่ยังคงอยู่ ขณะเดียวกันเรายังได้รู้ว่าว่า การมีธรรมะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยเตือนสติ..ให้เราได้ดูแลจิตใจ ที่จะทำให้เราพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะมีอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่เพียงไร แต่เราก็สามารถที่จะก้าวเดินไปสู่อิสระภาพของจิตใจเราได้ตลอดเวลา... และนับวันคนเราก็จะหลงลืมสิ่งนี้มาตลอด... แม้ ณ....ตอนนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เป็นบ้านของเราจะยังเลวร้ายที่ผู้คนไม่สามารถควบคุมกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจของตนเองได้...การขาดสติ...ที่จะยับยั้งชั่งใจแล้วหันมาทำลายซึ่งกันและกัน......จนสุดท้ายในตอนจบก็ไม่มีใครได้รับชัยชนะเลย...
มาสู่การเดินทางในครั้งนี้..ก็ต้องฝ่าเปลวเพลิงของความร้อนที่มีอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย...ซึ่งเป็นลักษณะของอากาศในประเทศไทยที่ต้องร้อนตลอดเวลาที่ผ่านมา..... การเดินทางครั้งนี้ จะไปการทำงานกับชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ไม่ว่าจะเป็นเพชรบูรณ์..หรือ..พิจิตรก็ตาม เส้นทางที่บางครั้งก็เต็มไปด้วยขุนเขาที่ขาดความเขียวขจี หรือความแห้งแล้งในท้องทุ่งนาก็ตาม แต่จิตใจที่มีอยู่ของผู้คนก็ไม่ได้แห้งแล้งตามพื้นที่เลย...
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนุกที่เราทำงานกับชุมชน ที่จะต้องฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระอุ...เรายังต้องฝ่าความคิด..แนวคิดมุมมองของชุมชนที่จะต้องสร้างให้ชุมชนได้มีความเชื่อ การใช้ศักยภาพของตนและการรวมกลุ่มที่จะเป็นพลังในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยให้ได้... จึงเป็นเรื่องที่น่าท้าทายยิ่งนัก....
การที่เราได้รับงานเชิงนโยบายที่จะถ่ายทอดลงไปให้ชุมชนได้เกิดความเข้าใจ และเรียนรู้ร่วมกันที่จะนำไปสู่การพัฒนา จนเกิดเป็นองค์ความรู้แล้วนำมาถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไปได้เล่าขาน ฉะนั้นเราในฐานะที่เป็นคนทำงานกับชุมชนจะต้องเต็มไปด้วยความสนใจใคร่รู้ การกระตือรือร้น การไม่ยกตนข่มท่าน การไม่ทำตัวให้เป็นน้ำล้นแก้ว จะเป็นตัวช่วยให้เราได้เรียนรู้อะไรมีมากมายในชุมชนจากสังคมฐานรากได้เต็มที่...
อย่างเช่น กระบวนการแก้ไขปัญหาของคนที่มีหนี้สินที่ใช้ความพอเพียงของในหลวง เป็นเครื่องมือที่จะแก้ปัญหาของตนเองได้ เช่น บ้านของลุงจวน เครือข่ายเกษตรธรรมชาติต.โพธิ์ไทรงาม อ.บึงนาราง จ.พิจิตร หรือ การนำนโยบายการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย(บ้านมั่นคง)ของคนที่ถูกไล่รื้อมาช่วยแก้ปัญหาให้กับคนในชุมชนสระสองพี่น้องและชุมชนใกล้เคียง เขตเทศบาลนครพิษณุโลก จ.พิษณุโลก เป็นต้น
ขณะเดียวกันเราสามารถนำองค์ความรู้มาถ่ายทอดให้เกิดการผลักดันงานเชิงนโยบายก็ได้ อย่างเช่น การจัดสวัสดิการชุมชนท้องถิ่นที่ชุมชนดำเนินการมาก่อนแล้วมีการขยายผลไปอีกหลายพื้นที่ จนนำมาสู่ความสำเร็จให้รัฐได้เห็นว่า สวัสดิการที่มีอยู่ชุมชนก็สามารถทำได้ จนกลายเป็นนโยบายสาธารณะ หรือการจัดการที่ดิน ในรูปแบบของโฉนดชุมชน ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็น เรื่องการจัดการที่ดินของคนในชุมชนที่ทำได้เอง โดยที่รัฐจะเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น.... เป็นต้น
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นงานชุมชน ที่เราไม่ควรมองว่า ..เราจะไปพัฒนาเขา..แต่เราควรมองว่า..เราจะไปเรียนรู้อะไรกับเขา..จะส่งเสริมสนับสนุนอย่างไรให้ชุมชนได้เชื่อมั่นว่า สามารถที่จะแก้ปัญหาของตนเองได้ ไม่ใช่เป็นการเน้นเรื่องตัวเงินงบประมาณอย่างเดียว แต่เราจะทำให้เกิดเป็นองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดได้อย่างไรต่างหาก....
ไม่มีความเห็น