เธอ...คือใคร


เธอให้อะไรให้ฉันคิดบ้าง ขอติดตามคนอื่นต่อไป
ท่านหญิงอุมมุซะละมะฮฺ
Azsunnah.com / ท่านทราบไหมว่า อุมมุ ซะละมะฮฺคือใคร? บิดาของนางเป็นหัวหน้าเผ่า "บะนีมัคซูม" เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ใจบุญของชาวอาหรับ เป็นที่โจทย์ขานกันว่าเป็น "ซาดุรรอกิบ"
หรือเสบียงแห่งกองคาราวาน เพราะเมื่อกองคาราวานใดที่แวะพักที่บ้านของเขาหรือมีเขาร่วมเดินทางไปด้วย ก็จะได้รับการบรรทุกเสบียงจนเต็มเปี่ยมสามีของนางคืออับดุลลอฮฺ
บิน อับดิลอะซัด เป็นหนึ่งในจำนวนสิบคนแรกที่เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดรับอิสลามก่อนเขา นอกจากท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊ก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ และอีกไม่กี่คนซึ่งมีจำนวน
น้อยกว่านิ้วมือทั้งสองข้างเสียอีก

ชื่อจริงของนางคือ "ฮินดฺ" และมีฉายานามว่า "อุมมุ ซะละมะฮฺ" ต่อมาใครๆก็เรียกนางว่า อุมมุซะละมะฮฺ จนติดปาก อุมมุซะละมะฮฺเข้ารับอิสลามพร้อมกับสามี และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รับนับถือศาสนาอิสลามกลุ่มแรกเมื่อมีข่าวการรับนับถือศาสนาอิสลามของ อุมมุซะละมะฮฺและสามีแพร่สะพัดออกไปพวกกุเรชก็เริ่มคัดค้าน กลั่นแกล้ง รังแก ซึ่งหากจะเปรียบเทียบเป็นเช่นหินผา ก็คงต้องแตกกระจายเพราะไม่สามารถทนทานได้

ทั้งนี้ก็เพราะชาวกุเรชไม่ต้องการให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นแต่ความเดือดร้อนนั้นก็หาได้ทำให้ทั้งสองสะทกสะท้านไม่เมื่อพวก กุเรช ทวีความรุนแรงหนักข้อยิ่งขึ้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะฮฺอพยพไปยัง "ฮะบะซะฮฺ" หรือเอธิโอเปียในปัจจุบันนี้และอุมมุซะละมะฮฺกับสามีก็ได้ร่วมอพยพไปด้วยทั้งสองต้องอพยพไปอยู่ในดินแดนของคนแปลกหน้าต้องละทิ้งบ้านเรือนใหญ่โตรโหฐานที่มักกะฮฺทิ้งเกียรติยศอันสูงส่งและตระกูลทีประเสริฐไว้เบื้องหลัง เพราะต้องการรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ต้อง
การเป็นที่พอพระทัยของอัลลอฮฺเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

แม้ว่าทั้งสองจะได้รับการคุ้มครองจากท่าน "นะญาซีย์" กษัตริย์แห่งเมืองฮะบะซะฮฺในขณะนั้นก็ตาม (ขออัลลอฮฺทรงโปรดปรานเขาในสรวงสวรรค์ด้วย อามีน) แต่พวกเขาก็ยังคงคิดถึง "มักกะฮฺ" ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อัลลอฮฺทรงประทาน "วะฮีย์" ลงมาและเป็นสถานที่ที่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พำนักอยู่ ซึ่งตัวของนางและสามีได้รับแนวทางอันถูกต้องเอาไว้

ต่อมาบรรดามุสลิมที่อพยพมาอยู่เมือง "ฮะบะซะฮฺ" ได้รับข่าวว่ามีมุสลิมจำนวนมากยิ่งขึ้นในมักกะฮฺและแน่นอนเหลือเกินในการเข้ารับอิสลามของท่าน "ฮัมซะฮฺ บิน อับดุลมุฎฎอลิบ" และท่าน "อุมัรอิบนิลค็อฎฎ็อบ" ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา นั้นจะต้องเพิ่มความเข้มแข็งให้พวกเขา และยับยั้งพวก กุเรชให้เลิกรังแกลงได้แน่ๆ ดังนั้นจึงมีกลุ่มหนึ่งกลับมา "มักกะฮฺ" ด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นที่สุดพวกเขาอยากจะกลับมาอยู่ใกล้ชิดกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและอุมมุซะละมะฮฺและสามีก็ได้เดินทางกลับมาด้วย

ครั้นเมื่อมาถึง "มักกะฮฺ" สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาทำให้เห็นว่าข้อมูลจากข่าวที่ได้รับนั้นไม่เป็นความจริง เพราะการตื่นตัวของพี่น้องมุสลิมภายหลังจากที่ท่านฮัมซะฮฺ และท่านอุมัรร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา เข้ารับอิสลามนั้นยิ่งทำให้พวกกุเรชกลั่นแกล้งมุสลิมหนักข้อยิ่งขึ้นอีกพวกมุชริกีนยิ่งก่อเหตุวุ่นวาย ด้วยการจับมุสลิมไปทรมานเขย่าขวัญรังแกทำร้ายต่างๆนานาชนิดที่พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อนเลย

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงอนุมัติให้บรรดาศอหะบะฮฺของท่านอพยพไป "มะดีนะฮฺ" อุมมุซะละมะฮฺและสามีต่างก็ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องอพยพอีกครั้งเพื่อให้พ้นศาสนาดั้งเดิมและเพื่อให้พ้นจากการคุกคามของพวก กุเรชการอพยพของอุมุซะละมะฮฺและสามีไม่สะดวกง่ายดายอย่างที่คิด แต่มันลำบากยากเย็น ขมขื่นต้องประสบกับความชั่วร้ายนานับประการ ซึ่งในเรื่องนี้เราจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ "อุมมุซะละมะฮฺ" เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับนางด้วยตนเอง เพราะนางมีความรู้สึก
อันล้ำลึก และมีมโนภาพที่ละเอียดอ่อนต่อเหตุการณ์ที่ประสบมากับนางเอง

นางได้เล่าไว้ว่า เมื่อบิดาของซะละมะฮฺ คือสามีของนางมั่นใจว่าจะต้องออกเดินทางไปมะดีนะฮฺเขาจึงตระเตรียมอูฐตัวหนึ่งไว้สำหรับฉัน เขาส่งฉันกับลูกซะละมะฮฺขึ้นหลังอูฐและเขาก็ออกเดินจูงอูฐไปเรื่อยๆ โดยไม่เหลียวหลัง แต่ก่อนที่เราจะออกไปพ้นเขตมักกะฮฺ เรามองเห็นชายฉกรรจ์ หลายคนซึ่งมาจากเผ่าของฉันคือ "บนีมัคซูม" พวกเขาขัดขวางเราไว้และอบูซะละมะฮฺก็พูดขึ้นว่า

"แม้ว่าตัวของเจ้าจะชนะเรา แต่มันเป็นกงการอะไรของเจ้ากับผู้หญิงผู้นี้ด้วยเล่า?"

พวกเขาตอบว่า "นางเป็นลูกของเรา เหตุไฉนเราจะปล่อยให้เจ้านำพานางไปจากเรา เพื่อออกเดินทางไปต่างแดน?"

และแล้วพวกนั้นก็กระโดดเข้ามาหาเขา (สามีของอุมมุซะละมะฮฺ ) และแย่งชิงฉันไปจากเขา ส่วนพรรคพวกสามีของฉัน คือ "บนีอับดิลอะซัด" เมื่อทราบข่าวว่า "บนีมัคซูม" จับตัวฉันและบุตรไปแล้ว พวกเขาก็โกรธมาก และกล่าวสาบานว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ เราจะไม่ปล่อยให้เจ้า เด็กน้อย หมายถึง "ซะละมะฮฺ" อยู่กับมารดาของเขาหมายถึงอุมมุซะละมะฮฺ ซึ่งเป็นพวกของเจ้าหลังจากที่พวกเจ้ายื้อแย่งนางไปจากพวกของเรา ดังนั้นซะละมะฮฺคือลูกของเรา พวกเรามีสิทธิ์ในตัวเขายิ่งกว่าผู้อื่น และแล้วพวก "บนีอับดิลอะซัด" ก็ลากเอาลูกของฉันไปกับเขา ในที่สุดพวกเขาก็แกะมือของลูกซะละมะฮฺ ออกจากอ้อมอกของฉัน และพาเอาตัวไปต่อหน้าต่อตา

ขณะนั้นฉันรู้สึกว่าตัวเองถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว สามีต้องเดินมุ่งหน้าไปสู่มะดีนะฮฺ เขาทิ้งศาสนาดั่งเดิมและละทิ้งคู่ชีวิตของเขาไป ส่วนลูกก็ถูก "บนูอับดิลอะซัด" แย่งเอาไปแล้ว สำหรับตัวฉันเองนั้น "บนูมัคซูม" เป็นผู้คุ้มครองดูแลให้อยู่ในความอุปการะของพวกเขา ณ บัดนี้ตัวฉัน สามี และลูกต้องพลัดพรากจากกันและหลังจากที่เหตุการณ์วันนั้นผ่านไป ฉันจะออกไปที่ "อับตอฮฺ" ทุกวันและจะนั่งอยู่ตรงที่เกิดเหตุร้ายทบทวนถึงความหลัง ฉัน ลูก สามี ที่จำต้องระหกระเหินกันไปคนละทางสองทางฉันจะนั่งร้องไห
อยู่ ณ ที่นั่นจนพบค่ำ เป็นอยู่เช่นนั้นจนเกือบหนึ่งปีเต็ม

จนกระทั่งมีชายผู้หนึ่งจากเผ่าของอาของฉันผ่านมาพบเข้า เขาเห็นใจและสงสารฉันมาก เขาจึงบอกแก่เผ่าของฉันว่า "สมควรที่ท่านจะปล่อยหญิงที่น่าสงสารผู้นี้เสียเถิด พวกท่านพรากนางจากสามีและลูกของนาง" แล้วเขาได้พูดขอความเห็นใจ ขอความเมตตาสงสาร จนกระทั่งเผ่าของฉันเอ่ยขึ้นกับฉันว่า "ถ้าหากเธอยังต้องการจะติดตามสามีอยู่อีก ก็ไปซิ"

แต่ฉันจะไปพบสามีโดยทอดทิ้งสายโลหิตไว้กับเผ่า "บนีอับดิลอะซัด" ที่มักกะฮฺได้อย่างไร? ความทนทุกข์ทรมานจะยุติลงได้ละหรือ? หยาดน้ำตาจะเหือดแห้งได้อย่างไร? ฉันจะอพยพติดตามสามีโดยปล่อยลูกน้อยไว้ในมักกะฮฺ โดยไม่ทราบข่าวคราวเลยกระนั้นหรือ? มีพี่น้องบางคนเห็นว่าสมควรให้ฉันพ้นจากความโศรกเศร้าเสียที จิตใจของเขาปวดร้าวเมื่อเห็น สภาพของฉัน พวกเขาจึงเจรจากับ "บนีอับดิลอะซัด" ขอร้องให้สงสารฉันบ้าง

ในที่สุดพวกนั้นก็ยอมส่งลูกของฉันกลับคืนมา ฉันไม่ปรารถนาจะหาใครสักคนที่มักกะฮฺเป็นเพื่อนเดินทางอพยพเพราะกลัวว่าจะเกิดสิ่งที่คาดคิด ไม่ถึงซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในเรื่องติดตามสามีได้ ดังนั้นฉันจึงเตรียมอูฐและนำลูกน้อยไป กับฉันด้วย เสร็จแล้วจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปมะดีนะฮฺ ปรารถนาจะได้พบสามีทั้งๆที่ไม่มีใคร ร่วมเดินทางไปด้วยแม้แต่คนเดียว

ครั้นมาถึง "ตะนะอีม" (ปัจจุบันอยู่ห่างมักกะฮฺประมาณสามไมล์) ก็พบ อุสมาน อิบนิ ฎอลละฮฺ (เป็นผู้ดูแลบัยตุลลอฮฺในสมัยญาฮิลียะฮฺ เข้ารับอิสลามพร้อมกับท่านคอลีด อิบนิวะลีด และเข้าร่วมรบในศึกเปิดเมืองมักกะฮฺ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้มอบกุญแจกะบะฮฺให้ และในวันที่เขาพบกับอุมมุซะละมะฮฺนั้น เขายังเป็นมุชริกอยู่) เขาถามฉันว่า จะไปไหนหรือ?โอ้บุตรสาวของ "ซาดิรฺรอกิบ"? (หมายถึงหัวหน้าเผ่าบนีมัคซูมซึ่งเป็นบิดาของนาง) ฉันตอบว่า "ต้องการจะไปพบสามีที่มะดีนะฮฺ" เขาถามฉันอีกว่า "ไม่มีใครสักคนหนึ่งร่วมเดินทางไปกับเธอด้วยหรือ?"

ฉันตอบว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มีใครเลย มีแต่อัลลอฮฺและลูกน้อยของฉันนี้เท่านั้น" เขาจึงพูดขึ้นว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเดินทางไปมะดีนะฮฺโดยลำพัง เป็นอันขาด พลางเขาก็จับเชือกอูฐพาฉันออกเดินทางไปโดยเร็ว อุมมุซะละมะฮฺ เล่าว่า "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มีเพื่อนชาวอาหรับผู้ใดที่มีเกียรติและ ประเสริฐยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว จะไม่ให้ฉันพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะยามใดที่ต้องหยุดพัก เขาจะให้อูฐของฉันคุกเข่าลง และตัวของเขาเองก็จะออกไปอยู่ห่างๆ จนกระทั่งฉันลงจากหลังอูฐ เสร็จแล้วเขาก็จะเข้ามาเอาที่พักบนหลังอูฐลง และจูงอูฐไปผูกไว้กับต้นไม้

ทางต่อไป เขาจูงมันมาหาฉัน และเดินออกไปห่างๆ พร้อมกับบอกกับ ฉันว่า "ขึ้นอูฐเถิด" เมื่อฉันขึ้นบนอูฐและนั่งบนหลังมันเสริจเรียบร้อย เขาก็จะเดินทางเข้า มาคว้าเชือกอูฐจูงต่อไป เขาปฎิบัติต่อฉันเช่นนั้นเป็นประจำทุกวัน จนเรามาถึง "มะดีนะฮฺ" เมื่อเขาแลเห็นตำบลหนึ่งที่ "กุบาอฺ" (ตำบลหนึ่งอยู่ห่างมะดีนะฮฺประมาณสองไมล์) ซึ่งเป็นสถานที่ของเผ่า "บนีอัมรฺ อิบนิ เอ๊าฟฺ" เขาบอกฉันว่า สามีของเธออยู่ตำบลนี้แหละ จงเข้าไปหาเขา ที่นั่นด้วยความศิริมงคลของอัลลอฮฺเถิด แล้วเขาก็ผินหลังกลับมุ่งสู่มักกะฮฺ"

ณ บัดนี้ คนที่บ้านแตกสาแหรกขาด อันได้แก่ครอบครัวของ "อุมมุ ซะละมะฮฺ" ก็ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันเป็นเวลานาน มาดาของ "ซะละมะฮฺ" มีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับสามี และบิดาของ "ซะละมะฮฺ" ก็มีความสุขที่ได้พบกับภรรยและบุตร แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปยังไม่ทันไร ก็มีเหตุทำให้ต้องพลัดพราดจากกันอีก นั่นก็คือสงคราม "บะดัร" ซึ่งอบูซะละมะฮฺได้เข้าร่วมรบด้วย และก็นำชัยชนะอย่างเด็ดขาดกลับมาพร้อมกับพี่น้องมุสลิม

สงครามอุฮุด อบูซะละมะฮฺได้ถูกทดสอบอย่างงดงามและมีเกียรติอีกครั้งหนึ่งแต่ศึกครั้งนี้เขาได้รับบาดแผลฉกรรจ์ และเขาได้เยียวยารักษาแผลนั้น หากดูเผินๆแล้วก็เหมือนกับว่าเกือบจะหายแล้ว แต่ความจริงบาดแผลภายในยังเป็นอันตรายอยู่ จึงทำให้เขาต้องนอนป่วยอยู่เช่นนั้น ครั้งหนึ่งขณะที่อบูซะละมะฮฺกำลังได้รับการเยียวยาบาดแผล อยู่นั้นเขาได้กล่าวกับภรรยาว่า "อุมมุซะละมะฮิเอ๋ย ฉันได้ยินท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ความทุกข์ยากจะ ไม่เกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใด หากขณะที่เขาประสบนั้นเขาจะกล่าวว่า

"แน่นอนเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแน่นอนเราต้องกลับไปยังพระองค์" และกล่าวดุอาอฺว่า "โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์คิดว่าความทุกข์ยากนี้มาจากพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปที่ดีกว่าความทุกข์ยากนี้ด้วย อามีน "หากใครวิงวอนเช่นนี้ อัลลอฮฺอัซซะวะญัลละ ก็จะทรงรับคำวิงวอนของเขา

อบูซะละมะฮฺ ยังคงนอนป่วยอยู่หลายวัน จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาเยี่ยมและเมื่อท่านลุกขึ้นกลับไป ยังไม่ทันจะพ้นประตูบ้าน อบูซะละมะฮฺก็สิ้นชีวิต ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ปิดนัยน์ตาทั้งสองข้างด้วยมือทั้งสอง อันประเสริฐของท่านให้แก่อบูซะละมะฮฺ ท่านเหลือบตาสู่เบื้องบนและกล่าวว่า

"ขออัลลอฮฺ ทรงโปรดยกโทษให้แก่อบีซะละมะฮฺ และขอพระองค์ทรงโปรดให้เขาได้อยู่ในสวน สวรรคพร้อมกับผู้ใกล้ชิดพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ผู้ที่เขาทอดทิ้งอยู่เบื้องหลังได้มีผู้มาแทนเขา เพื่อดูแลลูกและภรรยาของเขาเหมือนแต่ก่อนด้วยเถิด โอ้พระเจ้าของโลกทั้งผอง ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้พวกเราและอบูซะละมะฮฺด้วยเถิด ขอให้กุโบรของเขากว้างขวางมีแสงสว่างด้วยอามีน"

อุมมุซะละมะฮฺนึกทบทวนคำที่สามีได้บอกแก่นาง ซึ่งเป็นคำพูดของ ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และกล่าวว่า "โอ้อัลลอฮฺ นับว่าความทุกข์ยากของฉันนี้มาจากพระองค์ แต่นางไม่สามารถทำใจให้กล่าวอีกได้ว่า "โอ้อัลลอฮฺ โปรดตอบแทนสิ่งที่ดียิ่งกว่าความทุกข์ยากนี้แก่ฉันด้วย" ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนางตั้งคำถามเสมอว่า "ยังมีใครอีกหรือที่จะเป็นคนดียิ่งกว่าอบูซะละมะฮฺ?

แต่นางก็ต้องอ้อมแอ้มกล่าวดุอาอฺต่อไปจนจบ "บรรดาพี่น้องมุสลิมต่างเศร้าใจต่อเหตุการณ์ที่มาประสบกับอุมมุซะละมะฮฺ เพราะไม่เคยมีความ โศกเศร้าเช่นนี้ให้แก่ความทุกข์ยากของใครมาก่อนเลย พวกเราขนานนามอุมมุซะละมะฮฺ ว่า "อัยยิมุลอฺะรอบีย์" หรือ "สตรีที่พลาดโอกาสในตัวสามี "เพราะนางไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในมะดีนะฮฺ นอกจากเด็กน้อยคนเดียวซึ่งมีสภาพคล้ายกับลูกไก่ตัวเล็กๆเท่านั้น ชาวมุฮาญิรีนและอัรซ้อรต่างก็ตระหนักดีถึงสิทธิ์ของอุมมุซะละมะฮฺ ซึ่งจำเป็นที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ

และเกือบไม่ทันจะหายจากความเศร้าโศกที่นางต้องสูญเสีย อบีซะละมะฮฺผู้เป็นสามี ท่านอบูบักรฺ อัศศิดดิ๊ก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็เสนอตัวสู่ขอนางให้กับตัวเอง แต่นางก็ไม่ตอบรับความประสงค์ของท่าน หลังจากนั้นท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็มาสู่ขอนางอีก และนางก็ปฎิเสธอีกเช่นกัน ต่อมาท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เสนอตัวสู่ขอนางแต่นางได้บอกกับท่านว่า โอ้ท่านร่อซูลของอัลลอฮฺ ฉันยังมีอุปสรรค์อยู่สามประการคือ ฉันเป็นหญิงที่มีความหึงหวงมากเกรงว่าท่านจะพบสิ่งไม่ดีงามอันจะทำให้ท่านโกรธกริ้ว และอัลลอฮฺจะทรงเอาโทษฉัน

ประการที่สอง ฉันเป็นหญิงที่ผ่านการมีชีวิตสมรสมาแล้ว และประการที่สาม ฉันเป็นหญิงมีลูกติด ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่าที่เธอบอกว่าเธอเป็นคนมีความหึงหวงมากนั้น ฉันขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺให้มันหายไปจากเธอ และที่เธอบอกว่าเคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้วนั้น ฉันเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับเธอ และที่บอกว่าเธอมีลูกติดนั้นลูกของเธอก็คือลูกของฉัน

ในที่สุดท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็สมรสกับ "อุมมุซะละมะฮฺ" ซึ่งอัลลอฮฺทรงรับดุอาอฺของนาง และให้เธอมีคู่ชีวิตที่ดีกว่า "อบีซะละมะฮฺ" ผู้ที่จากไป นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา "ฮินดฺ อัลมัคซูมียะฮฺ" ไม่ได้เป็นเพียงมารดาของซะละมะฮฺคนเดียวเท่านั้น หากแต่นางยังเป็น "มารดาของมุอฺมินทุกคนอีกด้วย

ขออัลลอฮฺโปรดประทานความดีงามให้แก่อุมมุซะละมะฮฺในสรวงสวรรค์ด้วยอามีน ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยนางด้วย..

Azsunnah.com
คำสำคัญ (Tags): #สตรีที่น่าสนใจ
หมายเลขบันทึก: 350891เขียนเมื่อ 10 เมษายน 2010 22:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ข้อมูลอาจจะยาวสักนิด...แต่คิดว่าน่าจะได้รับบางส่งบางอย่างจากบทความนี้ค่ะ...ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทความนี้ด้วยค่ะ

นางได้บอกกับท่านว่า โอ้ท่านร่อซูลของอัลลอฮฺ ฉันยังมีอุปสรรค์อยู่สามประการคือ ฉันเป็นหญิงที่มีความหึงหวงมากเกรงว่าท่านจะพบสิ่งไม่ดีงามอันจะทำให้ท่านโกรธกริ้ว และอัลลอฮฺจะทรงเอาโทษฉัน

ประการที่สอง ฉันเป็นหญิงที่ผ่านการมีชีวิตสมรสมาแล้ว และประการที่สาม ฉันเป็นหญิงมีลูกติด ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่าที่เธอบอกว่าเธอเป็นคนมีความหึงหวงมากนั้น ฉันขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺให้มันหายไปจากเธอ และที่เธอบอกว่าเคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้วนั้น ฉันเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับเธอ และที่บอกว่าเธอมีลูกติดนั้นลูกของเธอก็คือลูกของฉัน

จากข้อความข้างบนนี้ ได้มีสิ่งที่น่าคิดที่ว่า อุมมูซะลามะฮฺ ได้บอกความจริงเกี่ยวกับนางให้กับท่านศาสดามูฮำหมัด(ซล,) ทราบตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะ การเป็นหญิงที่มี "ความหึงหวง" และนางก็เกรงว่าท่านศาสดาจะพบสิ่งไม่ดีงาม ท่านศาสดาก็จะขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺเพื่อให้มันหายไปจากเธอ

"ความหึงหวง" เป็นธรรมชาติของผู้หญิงมากน้อยแตกต่างกันไป สำหรับผู้หญิงก็อย่าลืมว่าหากมันเกินขอบเขตที่อิสลามกำหนดมันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีงามน่ะค่ะ

ดิฉันขอนำความเห็นหนึ่งจาก Facebook ที่ได้แสดงความคิดเห็นไว้ค่ะ..."ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันเป็นคนที่อ่านหนังสือช้า แต่ชอบที่จะอ่านและวิเคราะห์ไปด้วย การนำมาประยุกต์ใช้เป็นสิ่งหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าเป็นกำไรจากการอ่าน ดิฉันไม่ได้อ่านแค่เพียงว่าผู้เขียนเขียนอะไรเท่านั้น แต่เราจะได้อะไรบ้าง เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข ก้อยากที่จะให้หลายๆ คนได้อ่านเผื่อว่าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน ดิฉันเชื่อว่าธรรมชาติของผู้หญิงนั้นอัลลอฮฺให้สิ่งที่คล้ายๆ กัน แต่อีหม่านเป็นสิ่งที่ต้องขัดเกลา และการอ่านคุณลักษณะของบรรดาหญิงเหล่านี้ ทุกคนล้วนมีลักษณะพิเศษแฝงอยู่เสมอค่ะ"

11 เมษายนเวลา 9:18 น.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท