ขั้นตอนการตรวจสอบยามผ่านด่านเอ็กซเรย์ก่อนขึ้นเครื่องบินค่อนข้างเข้มงวด จึงวุ่นวายพอสมควร ต้องยืนรอคอยผู้โดยสารท่านอื่นๆ ที่ใช้เวลาในการถอดเสื้อคลุม เข็มขัด หมวก รองเท้า ตัวเบาดีแท้ เคยมีข่าวว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะนำเครื่องสแกนตัวใหม่ที่มีความสามารถในการสแกนได้ทะลุปุโปร่งทั่วทุกอณู-รูขุมขน มาใช้ ซึ่งครั้งนี้ทางองค์กรสิทธิมนุษยชนก็ไม่กล้าค้านเพราะมีคนพกพาระเบิดขึ้นเครื่องได้สำเร็จมาแล้ว แหม….รู้สึกตื่นเต้นระคนกับเกิดความสงสารพนักงานที่ต้องทนดูสรีระของผู้โดยสารโดยรวม จึงคาดหวังว่าการเดินทางครั้งนี้คงผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องสแกนสมัยใหม่แน่ๆ แต่ต้องผิดหวังอย่างแรงผ่านมาหลายด่านแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะนำมาใช้
มีการห้ามนำของมีคมทุกชนิด ห้ามนำของเหลว(สบู่เหลว โลชั่น น้ำหอม ฯลฯ ) บรรจุเกิน ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อขวด และต้องใส่ถุงพลาสติกใส(ถุงซิปล็อก)แสดงให้เห็นชัดเจนน้ำหนักรวมไม่เกิน ๑๐๐๐ กรัม ไม่ว่าจะใส่ไว้ในกระเป๋าถือหรือกระเป๋าเดินทางขนาด ๑๔ x๒๑ นิ้ว ท่องจำเป็นอาขยานได้อย่างแม่นยำ แต่ยามปฏิบัตินั่นมันคนละเรื่อง….เคยนำทั้งกรรไกรตัดเล็บ มีดปอกผลไม้ติดตัวด้วยหลายครั้ง แต่พนักงานสมัยนั้นค่อนข้างมีน้ำใจจึงฝากขึ้นเครื่องให้และไปรับคืนเมื่อเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางบริเวณเดียวกับที่รับกระเป๋าใบใหญ่ ( Baggage Claim)
วันนี้ออกเดินทางมาเช็คอินตั้งแต่เช้า เพราะคุณ Marsha ต้องไปทำงาน จึงไม่อยากให้เธอวุ่นวายไปส่งทีหลัง จงใจทิ้งเสื้อโค๊ทและชุดถักสวยงามไว้ที่บ้าน รวมทั้งสิ่งของหลายอย่างที่เกินความจำเป็น เพราะเข็ดหลาบกับพนักงานสายการบิน Delta Airline ช่วงบินจาก Washington DC. มา Portland หล่อนบังคับให้เช็คอินกระเป๋าทั้ง ๒ ใบลงเครื่อง หาว่ากระเป๋า Carry on มันพองเกิน ไม่สามาถวางบนชั้นของเครื่องได้ ก็เครื่องบินหล่อนเล็กเองทำไมเล่า รองรับผู้โดยสารได้แค่ ๔๔ คน
แม้ว่าชั้นใส่สัมภาะของเครื่องบินคุณไม่มาตรฐานพอที่จะรองรับได้คุณก็ต้องรับผิดชอบนำไปไว้ใต้ท้องเครื่อง ไม่ใช่บังคับให้ผู้โดยสารต้องจ่ายค่าเช็คอินอีก ๑ ใบ แต่ไม่มีเวลาพอที่จะสีซอ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลา จึงจำใจจ่ายค่าโหลดกระเป๋าใบที่สองราคา ๓๕ เหรียญ ดีกว่าขึ้นเครื่องไม่ทัน
ดูหล่อนเบิกบานใจมากที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งๆที่ผู้เขียนไม่ได้ใช้บริการในช่องเลนที่หล่อนรับผิดชอบ แต่หล่อนก็ข้ามเลนมาเล่นด้วย ขณะเดินไปขึ้นเครื่องเห็นผู้โดยสารอื่นๆลากกระเป๋า carry on ใหญ่กว่าของผู้เขียนผ่านไปยิ่งทวีความแค้นเคืองยัยแหม่มกะปินั่น แม้นาทีนี้ยังรู้สึกขัดเคืองหล่อนไม่หาย ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เมื่อรับกระเป๋าเดินทางคืนที่จุดหมายปลายทาง ปรากฏว่าล้อข้างหนึ่งของกระเป๋าใบใหญ่ชำรุดสูญหายไปแบบไร้ซาก ไม่สามารถไปเรียกร้องค่าเสียหายคืนได้
เคยเห็นการปฏิบัติงานของพวกพนักงานด้วยตาตนเอง ช่วงที่รอลงเครื่องบินที่สนามบิน Washington DC. เขาจะนำรถประมาณ ๓ คันมาจอดรอใกล้ตัวเครื่อบิน เมื่อกระเป๋าเลื่อนผ่านสายพานมา พนักงานจะอ่านป้ายดู และจับโยนแบบไม่ปราณี-ปราศรัย แยกไปตามจุดหมายปลายทาง เช่น รถคันนี้สำหรับกระเป๋าเดินทางที่จะต่อเครื่องไปที่อื่น รถคันนั้นสำหรับกระเป๋าเดินทางที่ลงที่นี่ รถคันโน้นเป็นของที่รับบริการจัด-ส่ง เป็นต้น ใช้สายตาอ่านแบบผ่านๆแบบนั้นจึงมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้บ่อยๆ อาทิเรื่องที่กระเป๋าเดินทางไม่ได้มาพร้อมผู้โดยสาร หลงไปที่อื่น กว่าจะได้กลับคืนอาจใช้เวลา ๑-๒ วัน หากไปไกลกว่านั้นอาจต้องคอยเป็นสัปดาห์ ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์บินจากมลรัฐ Maine ไปเมือง San Francisco กระเป๋าเดินทางตามมาทีหลัง ๑ คืน
ครั้งหนึ่งไปท่องเที่ยวกับทัวร์ที่ประเทศใกล้ๆ ๔ วัน ๓ คืน ปรากฏว่ากระเป๋าของนักท่องเที่ยวคนหนึ่งไม่ได้เดินทางไปด้วย หรืออาจเดินทางไปที่อื่นแทน เธอต้องขอยืมเสื้อผ้าของเพื่อน-ญาติในกลุ่มใส่ตลอดทั้งทริป
การเดินทางมาครั้งนี้ เกิดปัญหากับเพื่อน ๒ ราย รายหนึ่ง หิมะตกหนักแถบ Appleton เครื่องบินลงไม่ได้ แต่กระเป๋าเดินทางไปกับเครื่องอีกลำหนึ่งและไปวางรอที่โน่นเรียบร้อยแล้ว สรุปเพื่อนต้องค้างคืนที่สนามบิน Chicago และขอให้ทางสายการบินจัดรถให้ พาไปรับกระเป๋าเดินทางที่นั่นในวันถัดไปและ บินกลับมาที่ Washington DC. ด้วยกัน รายที่สอง กระเป๋าเดินทางไม่มาด้วย พนักงานลืมกระเป๋าเดินทางของผู้โดยสารทั้งหมด กว่าจะได้กระเป๋าเดินทางคืนก็ใช้เวลาเกือบ ๑ วัน เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้คุณควรนำสิ่งของ-เครื่องใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋า Carry on ติดตัวไว้ และต้องทำใจหากกระเป๋าใบที่รักและหวงเกิดความเสียหายจากการขนส่ง
ผู้เขียนต้องซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่ทดแทน ในราคาลดไป ๖๐ % เหลือ ๘๕ เหรียญ ขนาด ๒๔ นิ้ว ขับเคลื่อนได้ ๔ ล้อ
สายการบินภายในประเทศ(Domestic Flight) เกือบทุกสายจะคิดค่าโหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่องทุกใบ ใบแรก ๒๕ เหรียญ ใบที่สอง ๓๕ เหรียญ ใบที่ ๓ -๔ จะเพิ่มราคาไปเรื่อยๆ น้ำหนักกระเป๋าที่โหลดลงเครื่องต้องไม่เกิน ๕๐ ปอนด์ ส่วนใบ Carry on อนุญาตให้แค่ ๓๘ ปอนด์ แต่สำหรับสายการบินระหว่างประเทศ ( International Flight) อนุญาตให้เช็คอินกระเป๋าได้ถึง ๒ ใบ น้ำหนักเกิน ๕๐ ปอนด์ได้เล็กน้อย แต่หากต้องต่อ Flight ภายในประเทศก็ต้องทำใจที่จะจ่ายเงินค่าโหลดกระเป๋าด้วยแล้วกัน
พนักงานประจำเครื่องสแกนถามว่านำของมีคม หรือสิ่งที่ผิดกฏระเบียบใส่กระเป๋า Carry on มาหรือเปล่า ตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่มี๊…. คุณจะตรวจสอบก็เชิญ ไม่ต้องเชิญเขาก็ต้องตรวจสอบ หากพบข้อสงสัย อ้าวเฮ้ย….งานเข้าเสียแล้ว ขนาดโชว์บัตรประจำตัว( Identification Card) ของมลรัฐ Maine ให้ดูแล้วนะเนี่ย
พอเปิดกระเป๋า… โอ้…. I forgot เจ้า Maple Syrup ๒ ขวด นั่นเอง ความจริงตั้งใจจะไปหย่อนให้ผู้ที่เคารพรัก ในระหว่างทางนะนั่น เผลอลืมใส่ไว้ในกระเป๋า Carry on ได้ไง " ฉันยกให้คุณแล้วกัน "
พนักงานสาวกล่าวว่า คุณจะกลับไปหาสายการบินให้เขาบริการคุณก็ได้นะ ตอบไปว่า ไม่หรอก เพราะกระเป๋าของฉันมันโหลดผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ภารงานแบกเจ้าสองขวดนั่นก็หมดไป ทำอย่างไรได้ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายน้ำใจผู้ให้แต่อย่างใด Bye… My Maple Syrup !
สวัสดีค่ะ
แวะมาส่งความระลึกถึงค่ะ
และเชิญชวนร่วมสร้างหอสมุดเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ด้วยกันนะคะ
http://gotoknow.org/blog/rongkham/349984
ขอบคุณค่ะ
มาเยี่ยมขอรับ อ่านเรื่องราวดีๆได้ความรู้เยอะเลย