ผมเป็นนาคอยู่วัดตั้งแต่วันก่อนบวช ๑๓ วัน ทำหน้าที่เตรียมความพร้อมของตนเอง สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ ทั้งเรื่องพิธีกรรม การจัดหาอัฐบริขารสำหรับการบวช เป็นหน้าที่ของทางบ้าน ซึ่งพ่อและปู่เป็นหัวเรือใหญ่ในการตระเตรียม
อัฐบริขารที่ผมพูดถึง คือ เครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำรงสมณะเพศ มีทั้งสิ้น ๘ อย่างคือ บาตร จีวร สบง สังฆาฏิ ผ้าประคดเอว เครื่องกรองน้ำ เข็ม/ด้าย และมีดโกน
บริขารแรกคือ “บาตร” โดยพระวินัยแล้ว อนุญาตให้พระใช้บาตรได้ ๒ ชนิด คือ บาตรดินเผาและบาตรเหล็ก ไม่อนุญาตบาตรที่ทำจากไม้ และจะใช้วัสดุคล้ายบาตรมาทดแทนเช่น น้ำเต้า กระโหลก หม้อ ก็ไม่อนุญาตเช่นกัน
ขนาดของบาตรมีตั้งขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ วิธีวัดขนาดคือวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของปากบาตรซึ่งมีขนาด ๕ นิ้วไปจนถึง ๑๓ นิ้ว
การจัดหาบาตรในปัจจุบันโดยมากมักซื้อหาจากร้าน มี ๓ แบบ คือ บาตรเหล็กหล่อ บาตรตะเข็บ และบาตรสแตนเลส ส่วนบาตรดินไม่พบว่ามีการใช้ที่ไหน
บาตรเหล็กหล่อ หล่อจากเหล็กผืนเดียว มีขนาดไม่ใหญ่นัก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๕ -๖ นิ้ว
บาตรตะเข็บ ทำจากแผ่นเหล็กเล็ก ๆ หลายแผ่น เชื่อมต่อกันแล้วตีขึ้นรูปเป็นบาตร ซึ่งจะเห็นรอยต่อของแผ่นเหล็กชัดเจน จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อบาตรตะเข็บ ขนาดของบาตรตะเข็บมีตั้งแต่ ๗ – ๑๓ นิ้ว
บาตรสแตนเลส เป็นบาตรที่พัฒนาขึ้นมาในชั้นหลัง เป็นบาตรที่หล่อจากโรงงานอุตสาหกรรม มีความสวยงานและไม่เป็นสนิม ดูแลรักษาง่าย มีขนาดตั้งแต่ ๕ - ๑๓ นิ้ว
สิ่งที่คู่มากับบาตรมี ๒ อย่างคือ เสื้อหรือสลกบาตร เป็นวัสดุหุ้มบาตรทำจากผ้าหรือถักจากไหม ส่วนที่หุ้มฝาบาตรมักถักจากไหมพรม และขาตั้งบาตร หากเป็นบาตรเหล้กหล่อมักจะมีขาตั้งบาตรเป็นเหล็กหล่อ ส่วนบาตรตะเข็บและบาตรสแตนเลสขาตั้งบาตรมักทำจากไม้ไผ่หรือหวาย
ผมได้รับบาตรจากพระวัดป่าแห่งหนึ่ง เป็นบาตรตะเข็บขนาด ๘ นิ้ว เสื้อบาตรเย็บจากผ้า ที่หุ้มฝาบาตรถักจากไหมพรม ส่วนขาตั้งบาตรทำจากไม้ไผ่และหวายดูแน่นหนา
การจัดหาบาตรมิจำเป็นต้องไปซื้อตามร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีระยะเวลาบวชยาวนานหรือไม่ก็ตาม เพราะบาตรในวัดนั้นมาเยอะมาก โดยเฉพาะบาตรเหล็กหล่อ สามารถขอเช่าบูชาจากวัดที่จะเข้าไปบวชได้
บาตรเหล็ก หรือ บาตรตะเข็บ
(ภาพจาก Internet)
บาตร เสื้อบาตรและขาบาตร
(ภาพประกอบจาก internet)
บริขารถัดมา คือ “จีวร” ในภาษาบาลีเรียกว่า “อุตราสงค์”
ปัจจุบันการแสวงหาจีวรมาเพื่อบวชพระมิใช่เรื่องยุ่งยากเช่นในสมัยพุทธกาล ซึ่งในสมัยนั้นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยมีความประสงค์จะออกบวช ต้องใช้เวลาเก็บสะสมผ้าไม่น้อยกว่าจะได้จำนวนมากพอที่จะนำมาเย็บต่อกันเป็นผืนใหญ่ ผ้าที่เก็บมาโดยมากเป็นเศษผ้าที่ชาวบ้านทิ้ง บ้างก็เป็นผ้าห่อศพที่ถูกทิ้งให้ฝูงอีแร้งทึ้งกิน
พระวินัยอนุญาติขนาดของจีวรไว้ในสิกขาบทที่ ๑๐ แห่งรตนวรรค ว่า ให้ยาวได้ ๙ คืบพระสุคต และกว้าง ๖ คืบพระสุคต (๑ คืบพระสุคตเท่ากับ ๒๕ เซนติเมตร)
จีวรผืนใหญ่นั้นเป็นการเย็บต่อจากผ้าผืนเล็ก ๆ มองไปคล้ายผืนนาและคันนา ซึ่งจีวรที่มีลักษณะนี้เกิดจากการออกแบบของพระอานนท์ ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล
สีของจีวรที่พระวินัยไม่อนุญาตได้แก่ สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีขาว สีดำ
ในปัจจุบันอาจแบ่งสีจีวรได้สัก ๔ สีหลัก ๆ ได้แก่ สีกรักขี้ม้า สีกรักแดง สีเหลืองส้ม และสีเหลืองทอง
สีของจีวร (เหลืองทอง กรักแดง เหลืองส้ม กรักขี้ม้า)
(ภาพประกอบจาก internet)
จีวรที่ใช้ได้ดีโดยทั่วไปจะมีจำนวน ๗ ขัณฑ์ขึ้นไป ผมเคยเห็นจำนวนขัณฑ์สูงสุดเพียง ๑๑ ขัณฑ์
สำหรับจีวรที่วางขายทั่วไปในท้องตลาด หากไม่ระบุรายละเอียด ทางร้านก็จะนำจีวรทั่วไปมาขายให้ ซึ่งเป็นการตัดเย็บด้วยผ้าที่หยาบและไม่ประณีต มีขนาดเล็กเพียง ๕ ขัณฑ์ ซึ่งไม่เหมาะสมกับการใช้ในระยะเวลายาวนาน
เช่นเดียวกับบาตร จีวรผืนที่ผมใช้บวชได้รับจากพระป่า มีขนาด ๑๑ ขัณฑ์
ในการจัดหาจีวรสำหรับการบวช มิจำเป็นต้องซื้ใหม่จากร้านเช่นเดียวกับการจัดหาบาตร จีวรเก่าที่พระใช้แล้วและลาสิกขาไปในแต่ละวัดมีจำนวนไม่น้อย สามารถนำมาทำความสะอาดแล้วนำมาใช้นุ่งห่มได้ ข้อนี้อยากให้นึกย้อนไปในสมัยพุทธกาลที่ผู้ประสงค์บวชต้องสะสมเศษผ้าจากเศษผ้าต่าง ๆ กระทั้งผ้าห่อศพนำมาตัดเย็บเป็นจีวร แต่นี่เป็นเพียงจีวรเก่าประสาอะไรจึงจะใช้การไม่ได้
บริขารถัดมาที่คู่กับ “จีวร” คือ “สบง” “สังฆาฏิ” “ประคดเอว” ซึ่งอาจรวม “อังสะ” เข้าไปด้วย
“สบง” ภาษาบาลีเรียกว่า “อันตรวาสก” เป็นผ้านุ่ง มีสองแบบคือ สบงซึ่งเย็บจากผ้าหลายผืนเรียกว่าสบงขัณฑ์ และสบงที่ตัดเย็บจากผ้าผืนเดียว
การตัดเย็บผ้าสบงขัณฑ์ คล้ายกับการตัดเย็บจีวร เพียงแต่ผืนจะเล็กกว่า เมื่อคลี่ผ้าออกมาจะเห็นผืนผ้าเย็บต่อกันเช่นเดียวกับจีวร การพิจารณาขนาดของสบงดูได้จากขนาดของขัณฑ์เช่นเดียวกับจีวร
โดยปกติหากพระรูปใดที่ไม่ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร (๑ ในธุดงควัตร) จะมีสบงมากกว่า ๑ ผืนไว้เปลี่ยน
กรณีผมมีสบง ๒ ผืน คือ สบงขัณฑ์ กับสบงทั่วไป ซึ่งเป็นบริขารที่ได้มาพร้อมกับบาตรและจีวรจากพระวัดป่า
ส่วนผ้า “สังฆาฏิ” เป็นหนึ่งในไตรจีวร มีลักษณะคล้ายจีวร เป็นผ้าที่ใช้สำหรับห่มคลุมซ้อนจีวรอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันความหนาวเย็น
ในบ้านเราอากาศร้อนมักมิได้ใช้ห่มคลุม แต่จะใช้พาดบ่าในยามประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
ผ้าสังฆาฏิมีลักษณะคล้ายผ้าจีวร การตัดเย็บกระทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่จะตัดเย็บด้วยผ้าสองชั้น (สองผืน) แทนที่จะเป็นชั้นเดียว (ผืนเดียว) ดังเช่นจีวร
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันจะพบว่าใช้จีวรแทนสังฆาฏิกันทั่วไป สำหรับผมสังฆาฏิ เป็นบริขารที่ได้รับจากพระวัดป่ามาพร้อมกับบริขารอื่น เป็นสังฆาฏิสองชั้น สีเดียวกับจีวรและสบง ขนาดเท่ากับจีวร
ผมใช้งานสังฆาฏิหลากหลายวัตถุประสงค์นอกเหนือจากแค่การใช้เป็นผ้าพาดบ่าในยามทำวัตรสวมนต์ หรือประกอบพิธีกรรม ใช้แทนผ้าห่ม ใช้เป็นผ้าปูนอน ใช้แทนจีวรในบางคราว เป็นต้น
สำหรับอีกบริขารหนึ่งคือ “ประคดเอว” ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับเข็มขัด มีทั่งทำมาจากผ้าและถักจากไหม
ผ้าอีกผืนหนึ่งที่ติดมาพร้อมกับไตรจีวรคือผ้า “อังสะ”เป็นผ้าที่ใช้สวมกายท่อนบน ทำหน้าที่คล้ายเสื้อ
อังสะมีทั้งชนิดเป็นผ้าผืนยาวแล้วนำมาห่มเฉวียงบ่าแบบสไปของผู้หญิง โดยจะมีเชือกผูกติดไว้บริเวณข้างลำตัว และชนิดที่ตัดเย็บเป็นอังสะสำเร็จรูปลักษณะคล้ายเสื้อกล้ามแต่มีบ่าด้านเดียว นอกจากนั้นยังมีอังสะไหมพรมไว้สำหรับใส่ในหน้าหนาวด้วย
ในวันบวช อังสะผมเป็นผ้าผืนเดียวคล้ายสไบ สีเดียวกับไตรจีวร ในห่อผ้าไตรจีวรอังสะจะเป็นผ้าที่ห่อรัดรัดผ้าทั้งสามผืนไว้ด้วยกัน
อังสะแบบต่าง ๆ
(ภาพประกอบจาก Internet)
เช่นเดียวกับจีวร ทั้ง “สบง” “สังฆาฏิ” “ประคตเอว” และ “อังสะ” มิจำเป็นต้องซื้ใหม่จากร้าน สามารถใช้ของเก่าที่พระใช้แล้วและลาสิกขาไปในแต่ละวัด ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย นำมาทำความสะอาดแล้วใช้สอยนุ่งห่มได้
“เครื่องกรองน้ำ” หรือ “ธมกรก” เป็นบริขารหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็น ๑ ใน ๘
ตามพระวินัยนั้น พระภิกษุจะดื่มน้ำได้ต้องกรองเสียก่อนเพราะอาจจะเผลอดื่มน้ำที่มีสัตว์ขนาดเล็กที่อาจมองไม่เห็นลงไปด้วย ซึ่งเป็นผลให้ต้องโทษอาบัติ
ในสมัยพุทธกาลการกรองน้ำใช้ผ้ากรอง ปัจจุบันมีการทำเครื่องกรองน้ำสำหรับพระสงฆ์ ซึ่งมีทั้งที่ทำมาจากพลาสติกและสแตนเลส
วันที่ผมบวชผมได้รับเครื่องกรองน้ำเป็นพลาสติก ซึ่งหาซื้อจากร้านสังฆภัณฑ์ และต่อมาหลังจากบวชและเข้าไปอยู่ที่วัดป่า ผมได้รับเครื่องกรองน้ำแบบสแตนเลสจากเพื่อนสหธรรมิก ซึ่งได้ใช้เพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องมิได้อาศัยน้ำดื่มจากธรรมชาติ น้ำดื่มส่วนใหญ่เป็นน้ำบรรจุซึ่งสะอาดและมั่นใจได้ว่าไม่มีสัตว์ปะปนอยู่
“เข็ม/ด้าย” เป็นบริขารที่แทบไม่ได้ใช้ในปัจจุบัน ยิ่งพระที่บวชระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยแล้ว โอกาสที่จะเย็บ ปะ ชุนไตรจีวรแทบไม่มี
การเย็บ ปะ ชุน จีวรเป็นกิจสำคัญของสงฆ์ ในวินับระบุว่าหากไตรจีวรเกิดการฉีกขาดแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องรีบปะชุนทันที มิเช่นนั้นจะต้องอาบัติ
สมัยเป็นพระผมเย็บปะจีวรด้วยตัวเองหลายครั้ง ทั้งที่อยู่ที่วัดป่าและวัดบ้าน
สำหรับ “มีดโกน” บริขารสุดท้าย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระภิกษุ เพราะนอกเหนือจากการโคนหนวดเคราแล้ว ยังต้องปลงผมและคิ้วอย่างน้อยเดือนละครั้ง บางวัดกำหนดทุกขึ้นและแรม ๑๕ ค่ำ
ทั้งหมดที่ว่ามานี่เป็นบริขารที่ต้องใช้ในการบวช
ของใช้อื่น ๆ เช่น ย่าม ตาลปัตร ผ้าห่ม มุ้ง รองเท้าแตะ ฯลฯ เป็นส่วนประกอบครับ
บริขารผมครบแล้ว พร้อมจะบวชแล้วครับ...
บาตร จีวร สบง สังฆาฏิ ผ้าประคดเอว เครื่องกรองน้ำ เข็ม/ด้าย และมีดโกน
ที่กรองน้ำสำคัญ ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นแล้วนะครับ จำได้ว่าสีเหลืองๆๆ
มีดโกนตอนพระบวชใหม่ๆๆ โกนกันเลือดออก เสียวๆๆ แถมบางรูปเอาจีวรหรือมุ้งมาดึงศีรษะไว้ โอโหไปไม่ได้ ผมที่โกนใหม่ๆๆจะติดผ้าเช่นมุ้งได้ดีมาก ...ฮาเลย จะได้บุญไหมเนี่ย...
สวัสดีครับอาจารย์
แหะ แหะ ยังครับอาจารย์ สึกมาพักใหญ่ครับกว่าจะได้เบียน แบบว่าไม่มีใครอยากให้ไปเบียดหนะครับ...
สวัสดีครับ ครูโย่ง
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ
จะเบียดแล้ว บวชหรือยังครับ ฮิ ฮิ...
สวัสดีคะ
แวะมาทักทายคะ
สวัสดีครับ
ขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ
ด้วยความระลึกถึงครับ
สวัสดีค่ะ
...สวัสดีค่ะ...โมธนาสาธุ..เจ้าค่ะ...(อยากบังสกุลให้ต้นไม้ที่...ตายๆ..เกิดๆ...พอจะให้ความรู้ได้บ้างไหม..เจ้าคะ)ฝากวานบอกแผนหลานชายให้หน่อยว่าควรจะทำไงดี..เบอรโทร ๐๘๙ ๒๕๑ ๖๐ ๕๖....สวัสดี..ยายธีค่ะ
บวชแล้วครับพี่
ว่าจะเบียดอย่างเป็นทางการ
อิอิ
สวัสดีครับ ครูโย่ง
แหะ แหะ แสดงว่าเบียดอย่างไม่เป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว...
ฮิ ฮิ....
สวัสดีคะ
แหม.. น่าเสียดายที่แม่ต้อย มาอ่านบทความนี้ ช้าไปสักนิด
เพราะว่า เพิ่งเป็นเจ้าภาพ บวชให้กับน้องที่เขาขับรถให้แม่ต้อยไป เมื่อต้นเดือนนี้เองคะ
ได้ความรู้ดีมากๆเลยคะ
แม่ต้อยต้องกลับมาอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรกเลยละคะ
ขอบคุณๆๆคะ
แต่สงสัยว่าครูโย่ง ทำไมท่านสนใจแต่เรื่องราว หลังบวช จังเลย
แม่ต้อยสงสัยนะคะ อิอิ
หวัดดีค่ะ หาหนังสือชื่อ ฝ่าดงขมิ้น เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ไม่รู้ว่ายังมีหลงเหลืออยู่หรือเป่าน้อๆๆๆๆ