ในขณะที่สภาพอดีตมันทรงอยู่
เมื่อเราออกจากสมาธิ
ใจมันนึกถึงอดีตว่าเราทำอย่างนี้แล้วมันดี
ความรู้สึกนั้นมันค้างอยู่ที่ใจ
พอมันค้างอยู่ที่ใจ ทำให้นึกถึงคนอื่น
อยากจะให้คนอื่นได้รู้และได้มาปฏิบัติเหมือนเรา
แสดงว่าสภาวะมันค้าง มันเป็นอดีตที่ผ่านมา
มันยังติดจิตอยู่ ตรงนี้เขาเรียกว่าเป็น นิมิตติดใจ
เมื่อจะไปที่ไหนก็เห็นคนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น
เราเห็นคนเจ็บหรือเห็นคนเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้ว
เราอยากจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ความคิดมันปรุงแต่งไป
มันเป็นการปรุงสภาวทุกข์เกิดขึ้นมาอีก เพราะสภาวะของตนเองก็ยังทุกข์อยู่
กลายเป็นทุกข์เพิ่มกลายเป็นทุกขลักษณะที่กำหนดไม่ได้
ตรงนี้พระไตรลักษณ์ที่เกิดแสดงให้เห็น
เหมือนกับลูกของเศรษฐีที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนาแต่รักษาจิตตนเองไม่ได้
พระพุทธเจ้าให้กลับไปรักษาจิตของตนเอง
เพราะมันกำหนดอารมณ์ไม่ทัน
สภาวะอนิจจัง สภาวะทุกขัง จึงเกิดขึ้นตามมา
ในที่สุดก็เป็นอนัตตา คือ ไม่มีอะไรเลย พอกำหนดได้
มันมีแต่รูปนาม เกิดดับๆ รูปเกิดดับ นามเกิดดับ สลับไปมา
รูปเป็นเหตุให้อาศัยซึ่งนาม นามเป็นเหตุให้อาศัยซึ่งรูป
กำหนดรู้อยู่อย่างนี้เป็นอนัตตาเป็นอนัตตลักษณะ
แสดงลักษณะต่างๆ ออกมาให้เห็นว่ามันเป็นของที่ไม่ใช่ตัวตน
มันเกิดขึ้นแล้วมันก็สลายไป สภาวะท้องพอง ท้องยุบก็เช่นเดียวกัน
พอท้องพองขึ้นมา แล้วสภาวะนั้นหายไป นั่นคือ
รูปลักษณะที่กำหนดและมันแสดงออกให้เห็น
เพียงแต่ให้เราได้รู้การกำหนดสภาวะสติ
โดยเรากำหนดจมลงอยู่ในสภาวะตัวนี้
เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะแก่กล้าก็กำหนดสภาวะตรงนั้นได้ลึกลงไป
กำหนดเห็นได้เป็นชั้นๆ ลงไปว่าสติเป็นอย่างนี้
สัมปชัญญะเป็นอย่างนี้ สภาวธรรมเป็นอย่างนี้
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นเอง
ไม่มีความเห็น