หน่วยที่ 11 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ความหมายของ “สารสนเทศ” ระบบสารสนเทศ เป็นระบบการจัดทำข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลภายในองค์กรและภายนอกองค์กรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และนำข้อมูลดังกล่าวมาเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้หน่วยงานย่อยต่าง ๆ ภายในองค์กรและหน่วยงานภายนอกสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงาน
ระบบสารสนเทศมีบทบาทต่อการจัดการ
องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
1. ตัวป้อน (Input) หมายถึงข้อมูลที่จะป้อนเข้าสู่ระบบ อาจมีลักษณะเป็นตัวอักษร ตัวเลข ที่รวมเรียกว่า ดาต้า (Data)
2. การประมวลผล (Processing) เป็นองค์ประกอบในส่วนของการนำข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาเข้าสู่กระบวนการประมวลผลหรือรวบรวมผลของข้อมูลทั้งหมดทั้งหมดให้เป็นรูปแบบที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
3. ผลลัพธ์ (Output) คือ การนำผลการประมวลจากข้อ 2 มาจัดทำรายงาน อาจทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือเป็นตัวเลข เป็นตาราง หรือเป็นกราฟ เพื่อความสะดวกในการอ่านและทำความเข้าใจ ผลลัพธ์ของการประมวล
4. การป้อนกลับ (Feedback) เมื่อมีการนำผลลัพธ์ไปใช้แล้วจะมีการรายงานผลการใช้ป้อนกลับ
ระบบสารสนเทศที่ดี ควรมีลักษณะ
มีความถูกต้องเชื่อถือได้ มีความเป็นปัจจุบัน มีความครบถ้วนสมบูรณ์ มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน ง่ายและสะดวกในการใช้งาน และเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบได้
การใช้คอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ คุณภาพของเครื่อง โปรแกรมที่ใช้ ข้อมูลพื้นฐานถูกต้องหรือไม่ ความรู้ ความสามารถในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบเครื่องเดี่ยว (Stand Alone) คือ การใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เองในการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยขีดความสามารถตามลำพังของตัวเองในการประมวลผลด้วยหน่วยความจำภายในของตน
2. การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย (Network) คือ การใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องมาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย การทำงานจะใช้ข้อมูลร่วมกัน โดยผ่านเครื่องบริการ แฟ้มข้อมูล (File Server) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารร่วมกันในระบบเครือข่ายที่จำเป็นในแต่ละจุดจะต้องมี
ความหมายของการเชื่อมโยงระบบสารสนเทศ การใช้คอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายเป็นการนำคอมพิวเตอร์จำนวนมากเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบเพื่อการทำงานร่วมกัน ทำให้คอมพิวเตอร์เปลี่ยนรูปแบบจากการทำงานเครื่องเดี่ยวมาเป็นการทำงานแบบเครือข่าย ซึ่งถือว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมาก และมีความนิยมแพร่หลาย
การประยุทธ์ระบบสารสนเทศกับการทำงานประจำวัน
ระบบสารสนเทศที่ดีจะต้องมีความสอดคล้องกับงานประจำวัน ต้องออกแบบเพื่อรองรับการทำงานของพนักงานอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการเพิ่มภาระงาน เพราะหากเป็นการเพิ่มภาระงานระบบสารสนเทศนั้นจะถูกปฏิเสธหรือไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควรจะเป็น สำหรับองค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่สามารถนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการทำงานประจำได้โดยง่าย แต่สำหรับองค์กรเดิมที่ไม่เคยใช้ระบบสารสนเทศในงานประจำ หากจะนำมาใช้จะต้องเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากร, เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ และระบบปฏิบัติการ ก่อนที่จะสามารถประยุกต์สารสนเทศมาใช้ในงานประจำวันได้
การประยุทธ์ระบบสารสนเทศกับการทำงานสำนักงาน
การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในงานสำนักงาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการจัดทำสำนักงานอัตโนมัติเป็นการประยุกต์ใช้สารสนเทศเพื่อทำให้สำนักงานเป็นสำนักงานที่มีความทันสมัยสามารถติดต่อเชื่อมโยงกับภายนอกได้อย่างคล่องตัว
การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการจัดการ
1. การพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นมาใช้เองในองค์กร เป็นการออกแบบและสร้างระบบสารสนเทศโดยใช้บุคลากรภายในขององค์กรเป็นผู้คิดค้นหรือมอบหมายให้จัดทำระบบสารสนเทศขององค์กรขึ้นมา
2. การจัดซื้อระบบสารสนเทศสำเร็จรูปมาใช้ เป็นการซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปที่มีขายโดยทั่วไปมาใช้ในระบบสารสนเทศขององค์กร
3. การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือหน่วยงานมาจัดระบบสารสนเทศ เป็นแนวทางที่องค์กรจะมีระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้ มีผู้รับผิดชอบในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ทันสมัยอยู่ตลอด แต่มีข้อจำกัดในแง่ที่ต้อยใช้จ่ายเงินงบประมาณในการจ้างค่อนข้างสูง
หน่วยที่ 12 การประยุกต์ใช้หลักการจัดการ
เหตุที่ต้องประยุกต์หลักการจัดการมาใช้ในองค์กร
1. เนื่องจากศาสตร์การจัดการเป็นศาสตร์ที่กว้าง มีการกำหนดหลักการอย่างกว้าง ๆ เอาไว้ ดังนั้นในการนำไปใช้จำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับองค์กรหรือการจัดการ
2. องค์กรแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านขนาดขององค์กร วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง รูปแบบในการบริหารจัดการ ดังนั้นการจัดการองค์กรที่แตกต่างกันย่อมต้องประยุกต์ความรู้ด้านการจัดการเพื่อนำไปใช้ที่แตกต่างกันออกไป
3. สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แม้ว่าการจัดตั้งองค์กรบางองค์กรอาจมีลักษณะการจัดตั้งที่เหมือน ๆ กัน เช่น เป็นบริษัทจำกัดเช่นกัน แต่หากมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในการจัดการจึงต้องมีการประยุกต์ให้เหมาะสม
4. การเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์
แนวทางในการประยุกต์หลักการจัดการ
วัตถุประสงค์ของแนวทางพัฒนาองค์กร
ขั้นตอนในการพัฒนาองค์กร
ขั้นที่ 1 การสร้างความเข้าใจ
ขั้นที่ 2 การรวบรวมปัญหา
ขั้นที่ 3 การวางแผนเพื่อพัฒนาองค์กร
ขั้นที่ 4 การสร้างกลุ่มเพื่อพัฒนา
ขั้นที่ 5 การสอดแทรกกิจกรรมเพื่อพัฒนา
ขั้นที่ 6 การติดตามและประเมินผล
แนวทางในการจัดการโดยยึดวัตถุประสงค์
ในการประยุกต์หลักการจัดการโดยใช้แนวทางการบริหารจัดการที่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลักนั้น ผู้บริหารจะต้องทำหน้าที่อำนวยการและประสานงานให้กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรดำเนินไปด้วยดีและบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดเอาไว้ เทคนิคการจัดการโดยยึดวัตถุประสงค์เป็นหลักจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของพนักงานทุกคน เน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์ขององค์กร และให้ ทุกคนปฏิบัติงานโดยยึดวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กรเป็นหลักสำคัญที่สุด
ปัจจัยที่ทำให้การจัดการโดยยึดวัตถุประสงค์บรรลุผลตามที่ต้องการ
แนวทางการจัดการโดยใช้กลุ่มพัฒนาคุณภาพ
กลุ่มพัฒนาคุณภาพหรือที่เรียกว่า กลุ่ม QCC (Quality Control Circle) เป็นการรวมตัวกันของบุคลากรในองค์กรเป็นกลุ่มย่อยที่มีจำนวนสมาชิกประมาณ 3 – 15 คน เพื่อร่วมกันทำกิจกรรมหรือแก้ปัญหาในการทำงานหรือปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น โดยหลักการของกลุ่มพัฒนาคุณภาพแล้วเชื่อว่าสมาชิกทุกคนในองค์กรมีความสามารถในการช่วยเหลือและพัฒนาองค์กรได้อย่างมีความสุขในการทำงาน
แนวทางการจัดการโดยใช้ระบบการให้ข้อเสนอแนะ หมายถึงการจัดการที่ให้ความสำคัญกับการเสนอแนะของบุคลากรในองค์กรอย่างเป็นระบบ เป็นการสร้างบรรยากาศที่ให้บุคลากรในระดับปฏิบัติการสามารถเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติงานแก่ผู้บริหารในระดับสูง
แนวทางการจัดการโดยการรีเอ็นจิเนียริ่ง (Reengineering) เป็นแนวคิดในการปรับปรุงการทำงานในองค์กรแบบถอนรากถอนโคน คือการไม่ยึดติดในรูปแบบเดิม ให้ใช้รูปแบบหรือแนวคิดใหม่ทั้งหมดในการทำงาน มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ มโหฬารในองค์กร โดยเน้นการทำงานที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงาน ลดจำนวนการใช้บุคลากรลงให้เหลือน้อยที่สุด และให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ
แนวทางการจัดการแบบไคเซ็น (Kaizen) เป็นรูปแบบการจัดการที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการจัดการแบบรีเอ็นจิเนียริ่ง เพราะไคเซ็นเป็นการจัดการที่เน้นความเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนโยไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม
หน่วยที่ 13 หลักการจัดการกับเศรษฐกิจพอเพียง
ความหมายของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาและการบริหารประเทศ โดยยึดหลักทางสายกลาง คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบและคุณธรรมประกอบการตัดสินใจและการกระทำเพื่อตนเอง สังคมและประเทศรอดพ้นวิกฤตที่เกิดขึ้นและยังสามารถนำทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสมดุลภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
หลักสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“ความพอประมาณ” ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
“ความมีภูมิคุ้มกันที่ดี” ในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ความมีภูมิคุ้มกันที่ดีเปรียบเสมือนการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้น้อยลง ความเสี่ยงในที่นี้มีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง ทั้งในแง่ของการดำเนินชีวิตของบุคคล การปฏิบัติงาน การประกอบธุรกิจ การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของประเทศชาติ จะต้องปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่ควรจะเป็น เช่น เกิดความเสี่ยงเพราะมีความโลภมากเกินไป หรือเสี่ยงเพราะปล่อยกู้มากเกินไป หรือกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไรมากเกินไปจนก่อให้เกิดความเสี่ยง
แนวทางในการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน
รัฐสามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการจัดการระบบเศรษฐกิจ ดังนี้
ธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารของภาครัฐที่มุ่งความดีงาม และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐและประชาชนอย่างทั่วถึงและยุติธรรม ธรรมาภิบาล จึงประกอบด้วย การบริหารที่ดีและมีความยุติธรรมทั้งเพื่อรัฐและเพื่อประชาชน
ควรมีลักษณะที่สำคัญ ๆ 4 อย่าง คือ
1. การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือ การบริหารจัดการที่รัฐและประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์สูงสุดที่ควรจะได้
2. การบริหารด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐไม่มีการคอร์รัปชั่นหรือการสร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มของตนเอง ตลอดจนการสร้างประโยชน์แบบทับซ้อน
3. มีความยุติธรรมอย่างทั่วถึง การบริหารราชการที่ดีจะต้องให้ความยุติธรรมอย่างทั่วถึง
4. ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง ในการบริหารราชการที่ดีรัฐจะต้องให้ประชาชนทุกชั้นมีส่วนร่วมในการบริหาร
ระบบบรรษัทภิบาล คือ วิธีการภายในของบริษัทในการปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จ โดยมีผลในทางที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ มีผลมีต่อพนักงานและผู้ถือหุ้นของบริษัท ในการดำเนินการของบริษัทสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส
การจัดการด้านเสถียรภาพและการจัดการความเสี่ยง มีประโยชน์คือจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของชาติมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากสภาวะของโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก หากระบบเศรษฐกิจของประเทศเราไปพึ่งพาอาศัยประเทศอื่นย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศอย่างแน่นอน
แนวทางในการนำเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในภาคธุรกิจ
1. การปฏิบัติต่อผู้เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรม ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจประกอบด้วย เจ้าของธุรกิจ หุ้นส่วนของธุรกิจ และประชาชนในฐานะผู้บริโภค ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินธุรกิจ
2. มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน และดำเนินการตามนโยบายที่กำหนดไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท
3. ดำเนินงานอย่างโปร่งใส เพราะความโปร่งใสต้องมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้อง
4. ดำเนินธุรกิจแบบมีวิสัยทัศน์ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่าหวังผลกำไรชั่วครั้งชั่วคราว
ไม่มีความเห็น