กามนิวรณ์ตัวที่ ๒ เรียกว่าพยาบาท พยาบาทตัวนี้เกิดขึ้นข้ามภพข้ามชาติ
มันคล้ายกับที่คนเอาไม้ไปขีดบนแผ่นหิน
ขีดครั้งแรกเห็น รอยขีดธรรมดา
พอขีดครั้งที่ ๒ เห็นรอยลึกขึ้น
พอขีดครั้งที่ ๓ จะเห็นรอยหนักขึ้นกว่าเดิม
พยาบาทตัวนี้มันฝังรากลึกในจิตขันธสันดาน
เรียกว่าก้นบึ้ง รากเหง้าของจิตที่เป็นอกุศลมูล
เมื่อมันมีโอกาสและเวลามันก็จะถ่ายทอดกันทันที
บางครั้งถ่ายทอดเป็นกรรมทายาท
ทางกรรมพันธ์เป็นอย่างไร นั่นคือ การถ่ายทอดทางกรรมทายาท
ยกตัวอย่างเช่น เราโกรธใคร โกรธมาข้ามภพข้ามชาติ
ขณะที่ตั้งครรภ์ เราก็โกรธเขาอีก ความรู้สึกโกรธนั้นมันสื่อกระแสไปสู่ลูกในท้อง
พอลูกเกิดมาก็โกรธคนนั้น โดยไม่มีสาเหตุ
เมื่อเห็นหน้าคนนั้นแล้วจะเกิดความรู้สึกไม่ชอบคนนั้นทันที
นั่นคือ ความโกรธพยาบาทข้ามภพข้ามชาติ
ตัวพยาบาทอย่างเดียวไม่พอ มันยังคอยจ้องพยาบาทล้างผลาญอีก
เราจะเห็นว่าตัวพยาบาทมันร้ายแรง เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมกันได้อย่างใหญ่หลวง
เมื่อเจอที่ไหนก็ทำลายที่นั่น เพราะมันเกิดความขัดแค้นเคือง ทำให้เกิดความขัดใจ
ในบางครั้งมันรู้สึก ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งเกลียด ทั้งโกรธฝังรากลึกในจิตใจ และประทับตราตรึงในใจ
เปรียบเหมือนการที่มาปฏิบัติธรรม
รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆนี้ มันจะเกิดจิตปฏิฆะขึ้นมาว่า
คนนั้นเดิน อย่างนี้ คนนั้นเดินอย่างนั้น มันรู้สึกไม่พอใจ
แม้บางครั้งเจ้าหน้าที่ผู้คอยช่วยเหลือไปแนะนำการเดินอย่างนี้ ก็เกิดความขุ่นเคืองใจทันที
เพราะความพยาบาทตัวนี้มันฝังไว้ มันแสดงออกทันที
ด้วยกิริยาท่าทางอาการเช่นนี้เมื่อมันเกิดขึ้นในใจผู้ใด มันจะฝังรากลึกในจิตใจของผู้นั้น
ซึ่งหากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วมันจะขวางกั้นไม่ให้รู้สภาวะอารมณ์
สติจะแตก ไม่สามารถควบคุมสติได้ เพราะกำหนดสติไม่ทันหรือกำหนดไม่อยู่
เมื่อเรากำหนดสติไม่อยู่แล้ว มันก็เกิดทรมาน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะรู้สึกอึดอัด ขมขื่น และเศร้าใจ ทำให้ต้องระบายออกมา
พอระบายออกมาก็จะหายแค้นและหายพยาบาท
ซึ่งแท้ที่จริงมันยังไม่หาย มันยังฝังรากลึกอยู่
เราเรียกว่า อนุสัยมันนอนก้น คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน มีอยู่ ๗ คือ
๑ ) กามราคะ คือ กามกำหนัดในกาม
๒) ปฏิฆะ คือ ความหงุดหงิด
๓) ทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด
๔) วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย
๕) มานะ คือ ความถือตัว
๖) ภวราคะ คือ ความกำหนดในกาม
๗) อวิชชา คือ ความไม่รู้จริง
ถ้ามีอะไรมาแหย่กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานนี้แค่นิดหน่อย มันก็ฟุ้งขจรขึ้นมาทำลายล้างได้ทีเดียว
เรื่อง ยักษิณี “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”
ในอดีตครั้งพุทธกาลสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง เมื่อแต่งงานกันแล้ว ฝ่ายภรรยาเป็นหมัน ไม่มีบุตรให้สามี ฝ่ายแม่สามีจึงคิดหาผู้หญิงใหม่ให้ลูกชาย ส่วนทางภรรยากลัวว่าสามีจะหลงใหลภรรยาใหม่ จึงตัดสินใจหาลูกหลานตนเองให้เป็นภรรยาน้อย โดยภรรยาหลวงผู้เป็นป้าได้บอกหลานตนเองว่า
“ถ้าตั้งครรภ์ขึ้นมาเมื่อใดให้รีบมาบอกฉันทันที ฉันจะหายาบำรุงครรภ์มาให้รับประทาน”
ผู้เป็นหลานก็เชื่อใจป้าของตน พอตั้งครรภ์ประมาณ ๒ เดือนก็ไปรายงานแก่ป้าผู้เป็นภรรยาหลวง
ส่วนป้าผู้เป็นภรรยาหลวงคิดว่าหากหลานผู้เป็นภรรยาน้อยมีลูก สามีจะลุ่มหลงหลานของตนเองแล้วจะทิ้งตนเองให้ว้าเหว่ จึงวางแผนปรุงยาพิษทำลายครรภ์ ฆ่าลูกในท้องของภรรยาน้อยให้ตาย
นางให้กินยาพิษครั้งที่ ๑ ลูกในครรภ์ของภรรยาน้อยก็ตาย
พอภรรยาน้อยตั้งครรภ์ครั้งที่ ๒ นางก็ไม่ระแวงภรรยาหลวง ก็เชื่อใจอีก จึงไปบอกภรรยาหลวงอีกว่าตนเองตั้งครรภ์ ภรรยาหลวงก็ปรุงยาพิษให้กินอีกปรากฏว่าก็แท้งลูกอีก
ครั้งนี้นางเริ่มสงสัยแล้วว่า ทำไมเมื่อบอกภรรยาหลวง นางต้องแท้งบุตรทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ร่างกายแข็งแรง
ทางฝ่ายสามีก็ไม่ระแคะระคายอะไร
ในที่สุดพอครั้งที่ ๓ นางตั้งครรภ์แล้วไม่บอกภรรยาหลวง
ทางฝ่ายภรรยาหลวงไม่ได้ช่องทางที่จะผสมยาพิษเพื่อทำลายครรภ์ของนาง จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ใกล้จะคลอด ภรรยาหลวงจึงได้โอกาสทำลายครรภ์ แต่ปรากฏครรภ์ไม่ตก เพราะเด็กนอนขวาง
นางจึงได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสจนสิ้นชีวิต แต่ก่อนที่จะสิ้นชีวิต นางได้อธิษฐานขอจองเวรกับหญิงผู้เป็นภรรยาหลวงนั้น
เมื่อนางตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นแมวตัวเมียในเรือนของนางนั่นเอง ฝ่ายสามีเมื่อรู้ว่าภรรยาหลวงปรุงยาให้ภรรยาน้อยถึงแก่ความตาย จึงได้ฆ่าภรรยาหลวงตาย
เมื่อภรรยาหลวงตายจึงไปเกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนของนาง
พอแม่ไก่ตกไข่ แมวก็ไปกินเสีย ๓ ครั้ง
แม่ไก่จึงผูกพยาบาทขอให้เกิดเป็นแม่เสือ
ส่วนนางแมวไปเกิดเป็นแม่เนื้อ
พอแม่เนื้อคลอดลูกออกมา แม่เสือก็กินลูกแม่เนื้อเสียทุกครั้ง แม่เนื้อจึงผูกพยาบาท
เมื่อตายจากชาตินั้นไปเกิดเป็นยักษิณี ส่วนแม่เสือเกิดไปเป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา
เมื่อหญิงชาวบ้านนั้นคลอดลูก ยักษิณีจะปลอมตัวมากินลูกของนางทุกครั้ง
พอครั้งที่ ๓ หญิงคนนั้นหนีไปคลอดที่บ้านพ่อแม่ของนาง
ส่วนฝ่ายยักษิณีเมื่อทราบข่าว จึงได้ตามไป
ปรากฏว่าไปเจอหญิงคู่เวรอยู่ริมสระหน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร
พอนางเห็นยักษิณีตามมา นางจึงอุ้มลูกวิ่งหนีเข้าไปในวัดพระเชตวันมหาวิหาร
นางนำลูกไปวางใกล้พระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์โดยตลอด จึงรับสั่งให้พระอานนท์นำนางยักษ์เข้าเฝ้าและตรัสกับนางยักษ์ว่า
“เพราะเหตุใดเจ้าทั้งสองจึงจองเวรกันเช่นนี้ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าไม่ได้พบพระพุทธเจ้า เวรของเจ้าทั้งสองก็จะดำรงอยู่ชั่วกัป”
เมื่อยักษิณีได้ฟังพระเทศนาจบ จึงได้บรรลุโสดาบันปัตติผลเป็นโสดาบัน
พระศาสดาจึงให้หญิงคนนั้นส่งลูกให้ยักษิณี
ยักษิณีร้องไห้และบอกว่าในครั้งก่อนนางกินโดยไม่เลือก ต่อไปนางจะหากินได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าจึงให้หญิงนั้นนำนางยักษ์ไปเลี้ยงอุปการะโดยยักษิณีได้ช่วยทำนายว่าปีนี้ฝนจะตกมากให้ทำนาบนที่ดอน ปีนี้ฝนตกน้อยให้ทำนาบนที่ลุ่ม ทำให้หญิงคนนั้นได้ข้าวดีทุกปี
เมื่อชาวบ้านทราบข่าวจึงมาขอคำแนะนำจากยักษิณีและได้นำข้าว น้ำและผลไม้มาให้ยักษิณีกินเป็นการตอบแทน ในที่สุดทั้งหญิงคนนั้นและยักษิณีต่างก็อุปการะซึ่งกันและกันตลอดมา และเลิกจองเวรซึ่งกันและกัน
เราคงเคยได้ยินคนโบราณเขากล่าวกันว่าทุกปี
มีหญิงคนหนึ่งจะเอาข้าวของไปห้อยไว้ตามกิ่งไม้เพื่อให้ยักษ์ได้กิน
เรื่องนี้จึงได้จำแลงแปลงมาเป็นวันสารท เดือน ๙ จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
คือตัวพยาบาทที่เกิดขึ้นกับใจมนุษย์ แล้วแปรสภาพเป็นสัตว์ต่างๆ
เพราะตัวพยาบาทเป็นตัวร้ายกาจทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้พ่อแม่ก็ทำลายได้
หากผู้ใดมีตัวนี้แล้วก็จะทำลายผลแห่งความดี คือธรรมะ
คนเหล่านี้จะไม่มีศีล มีธรรมอยู่ในใจ
มีอย่างเดียวหวังให้ได้สิ่งที่ตนต้องการก็พอใจแล้ว
ไม่มีความเห็น