นานาปัญหาคอมฯ พบบ่อยที่สู้ดด


แก้ปัญหาคอม
การแก้ปัญหาครื่องแฮงค์

    เครื่องแฮงค์เพราะ Driver
Driver คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างฮาร์ดแวร์และระบบ ปฏิบัติการหรืออธิบายง่ายๆ ก็คือคอยทำหน้าที่แนะนำให้ระบบปฏิบัติการรู้จักและทำงาน ร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้นั่นเอง ดังนั้นหากอุปกรณ์ตัวไหนที่ไม่ได้ลงไดรเวอร์ ก็อาจทำให้ระบบปฏิบัติการไม่รู้จัก จึงไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดูแล้วไดรเวอร์ ไม่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาใช่มั้ยคะ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตัวเก่า ได้ มีผู้ใช้หลายคนยกเครื่องมาให้ ช่างคอมพิวเตอร์ตรวจเช็คเนื่องจากปัญหาเครื่องแฮงค์บ่อยพอสอบถามถึงปัญหาก็ พบว่าผุ้ใช้ได้เคยอัพเดท ไดรเวอร์รุ่นใหม่ที่ดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเมื่อตรวจเช็คแล้วก็พบว่าไดรเวอร์ที่ผุ้ใช้ อัพเดทนั้นเป็นไดรเวอร์รุ่นทดสอบที่หลายเว็บไซต์มักชอบนำมาให้ดาวน์โหลดไป ทดสอบกันดูก่อน เมื่อไดรเวอร์ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถทำงานเข้ากับฮาร์ดแวร์ บางตัวได้จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ นั่นเอง ซึ่งปัญหานี้พบได้บ่อยมาก

   สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของ ผู้ใช้ก่อน หากพบเครื่องที่มีอาการแฮงค์หลังจากที่ผู้ใช้อัพเดทไดรเวอร์ลงไปให้ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเกิดจากสาเหตุนี้ วิธีแก้ปัญหาก็คือให้จัดการถอดไดรเวอร์ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป แล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม โดยมีขั้นตอนดังนี้

1. ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Properties
2. ที่หน้าต่าง System properties ให้คลิกแท็ป Device Driver
3. จากนั้นคลิกขวาที่ไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่มีปัญหา แล้วเลือกคำสั่ง Remove ไดรเวอร์นั้นออกไปแล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม


   แต่บางครั้งไดรเวอร์ที่มากับอุปกรณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ซื้อมา ก็อาจทำให้มีปัญหาได้เหมือนกัน โดยจะ พบบ่อยมากในไดรเวอร์ของการ์ดแสดงผล 3 มิติ และซาวด์การ์ดยี่ห้อโนเนมทางแก้ปัญหาคือ ต้องไปดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์ยี่ห้อ ที่ใช้อยู่เท่านั้น ไม่ควรไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์อื่น เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

   เครื่องแฮงค์เพราะโปรแกรม Application
หลายครั้งที่อาการแฮงค์มักเกิดหลังจากโปรแกรมที่ติดตั้ง อยู่ในเครื่องเข้ากันไม่ได้ บางไฟล์ของโปรแกรมตัวหนึ่งอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงไฟลืบางตัวของระบบปฏิบัติการจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากไฟล์นามสกุล DLL ซึ่งเป็นไฟล์สาธารณะของระบบปฏิบัติการ ที่มักจะมีหลายโปรแกรมที่เราติดตั้ง เข้ามาขอใช้ไฟล์นามสกุล DLL ด้วย แต่บางโปรแกรมก็มีไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าไฟล์ DLL ตัวเดิมของระบบปฏิบัติการ เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมนี้ลงไปมันก็จะเขียนไฟล์ DLL ตัวใหม่ทับตัวเก่าทันที จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ตามมา เพราะไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้

   สำหรับแนวทางแก้ไขของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมของการใช้งานของผู้ใช้ก่อน เมื่อพบเครื่องที่มีลักษณะเครื่องแฮงค์หลังจากที่ผุ้ใช้ลงโปรแกรมตัวใหม่ลงไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจ มาจากสาเหตุนี้ วิธีการแก้ไขก็คือ หากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนวินโดวส์ 98 / Me ให้บูตเครื่องด้วยแผ่นบูตแล้วพิมพ์คำสั่ง Scanreg / restore เพื่อเป็นการย้อนกลับไปใช้ Registry ที่วินโดวส์ได้แบ็คอัพเก็บไว้ 5 วันหลังสุด ก็ให้เราเลือกวันที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหาเพียงเท่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ค่ะ

   สำหรับวินโดวส์ Me และวินโดวส์ XP ก็สามารถใช้โปรแกรม System Restore เพื่อย้อนกลับไปยังวันที่ไม่เกิดปัญหาได้ โดยสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ดังนี้

1. คลิกปุ่ม Start > Program > Accessories > System Tools > System Restore
2. เมื่อปรากฏโปรแกรม System Restore ขึ้นมาให้คลิกที่ช่อง Restore my computer to earlier time แล้วคลิกปุ่ม Next
3. เลือกวันที่และจุด Checkpoint ที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหา โดยวันที่ที่สามารถย้อนกลับไปได้จะเป็นช่องหนาๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next
4. จะมีหน้าต่างแสดงรายละเอียดของวันที่และจุด Checkpoint ที่ต้องการย้อนระบบกลับไป ให้เราคลิกปุ่ม Next แล้วโปรแกรมก็จะเริ่มทำการย้อนระบบกลับไปยังวันที่และจุด Checkpoint ที่เรากำหนด


ง่ายๆ สำหรับการแก้ปัญหาค่ะ

คำสำคัญ (Tags): #ทิปit
หมายเลขบันทึก: 344567เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2010 19:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

กรณีฉุกเฉินที่ต้องแก้ก่อนเครื่องพัง

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อการทำงาน หรือเพื่อการเรียนแล้วละก็ เชื่อได้เลยว่าคงเคยเจอปัญหาประเภทที่ต้องรีบแก้ไขทันทีที่อยู่บ่อยๆ อย่างเช่น ไฟดับกะทันหัน ไฟกระชากในขณะที่กำลังทำงานหรือจู่ๆ เมาส์ก็ค้าง ทำอะไรต่อไปไม่ได้ ต้องบูตเท่านั้นหรือบางทีก็เจอกับหน้าจอฟ้า ที่มีข้อมูลอะไรเป็นภาษาอังกฤษขึ้นมาเต็มไปหมด เห็นแล้วก็เกิดอาการอึ้งๆ ๆ ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี รวมถึงเสียงที่มันดังออกมาจากคอมพิวเตอร์ทั้งปิ๊บสั้นปิ๊บยาว ปิ๊บถี่ๆ โอ้ว...อะไรกันนักหนาละเนี่ย เอาละนะ นับแต่นี้ต่อไป ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นก็จะหมดไป เพราะเราได้รวบรวม 10 กรณีฉุกเฉินที่ต้องรีบแก้ไขอย่างรีบด่วน มิฉะนั้นปัญหาอาจบานปลาย จนกลายเป็นความเสียหายของทั้งอุปกรณ์ หรือข้อมูลสำคัญ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เรามาลองไล่เรียงดูกันเลยนะค่ะ

กรณีที่ 1 ไฟดับกะทันหัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันบ่อยๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็คือไฟดับในขณะที่กำลังทำงานอยู่ โดยเฉพาะเครื่องที่ไม่มีอุปกรณ์สำรองไฟหรือ UPS ด้วยแล้ว เพียงแค่ไฟกระชาก ไฟตก บางทีก็อาจจะส่งผลให้เครื่องที่กำลังทำงานอยู่ดับไปเฉยๆ แล้วอย่างนี้จะทำยังไง เมื่อไฟดับ??

มาทำความเข้าใจกันก่อน อย่างแรกสุด ต้องเข้าใจว่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ดับ (โดยเฉพาะเวลาอากาศแปรปรวน) มักจะเกิดอาการไฟกระฉากหรือไฟตก ควรรีบเซฟงานและปิดเครื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าคุณจะมีอุปกรณ์สำรองไฟใช้งานอยู่ด้วยก็ตาม แต่ถ้ามันสุดวิสัย ไม่ทันจริงๆ อยู่ดีๆ มันก็ดับขึ้นมาซะงั้น...นี่คือขึ้นตอนที่คุณควรจะทำ

ถ้าเกิดเหตุการณ์ไฟดับปุ๊บ ไม่ต้องอึ้งค่ะ หาปลั๊กของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนเลยแล้วถอดออกเพื่อเป็นการป้องกันไฟกระชาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้อุปกรณ์เสียหายได้ หรือถ้ามีสวิตช์ที่ปลั๊กก็ปิดสวิตซ์ไปเลยก็ดีค่ะ เรื่องงานที่ทำค้างไว้คงต้องทำใจไปก่อนรอดูสถานการณ์ว่าไฟฟ้าจะกลับมาติด เมื่อไหร่ เมื่อมาแล้วก็อย่าเพิ่งเปิดเครื่องทันที เพราะไฟฟ้าอาจจะยังไม่เสถียรดี รออีก 5-10 นาทีว่ามันกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วแน่นอนจึงค่อยเปิดเครื่อง

เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแล้ว คราวนี้ละค่ะ คุณอาจจะได้เจอหน้าจอแปลกที่เป็นหน้าจอสีดำ ตัวอักษรสีขาวๆ มีให้เลือกออปชันต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นวินโดว์ส XP แล้วโชคดีไฟล์ระบบไม่เสียหาย คุณสามารถเลือก Start Windows Normally เพื่อบูตเข้าสู่วินโดวส์ตามปกติได้เลยค่ะ หรือถ้าเข้าไปไม่ได้ก็ให้ลองเลือกออปชั่น Last Know Good Configuration (your most recent setting that working) ดูค่ะ แต่ถ้าไม่ได้อีก อาจจะต้องมีการซ่อมแซมไฟล์ระบบกันเลย

ส่วนงานที่ทำค้างไว้นั้น จะทำอย่างไรกับมันดีคะ ซึ่งถ้าหากเป็นโปรแกรมในตระกูล Microsoft Office จะมีฟังก์ชันบันทึกข้อมูลอัตโนมัติเป็นระยะอยู่แล้ว ก็อาจจะโชคดีได้งานคืนกลับมาบางส่วน แต่ส่วนที่เหลือคงต้องทำใจละค่ะ ทางที่ดีควรเซฟงานเป็นระยะๆ ถึงจะดี และมีเครื่องสำรองไฟมาใช้งานด้วยก็จะดียิ่งขึ้น

กรณีที่ 2 เครื่องค้าง ปิดไม่ได้

มาถึงอาการเครื่องค้าง เครื่องแฮงก์ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุราหรือของมึนเมาของผู้ใช้นะครับ แต่อาจจะเป็นเพราะโปรแกรมมีการทำงานชนกัน หรืออุปกรณ์บางอย่างในเครื่องผิดปกติ อย่างเช่น แรม ฮาร์ดดิสก์ ซีพียู เป็นต้น คราวนี้กดปุ่มอะไรก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จะสั่ง Shutdown ก็ทำไม่ได้ กดปุ่ม Power บนตัวเครื่องแล้วมันก็ไม่ปิดสักที อย่างนี้จะทำอย่างไร

เมื่อเครื่องมีอาการค้างหรือแฮงก์ในขณะที่ทำงานอยู่อาจจะเกิดจากปัญหาอะไรก็ ตาม แต่ที่รู้ๆ คือกดปุ่มอะไรก็ไม่ตอบสนองสักกะที งานนี้มีทางเลือกอยู่หลายทาง แต่อย่างแรกคือต้องทำใจกับข้อมูลที่ทำค้างไว้พอๆ กับกรณีไฟดับนั่นแหละค่ะ ส่วนทางเลือกที่คุณสามารถทำได้คือกดปุ่ม Reset บนตัวเครื่อง ซึ่งมันจะทำให้ระบบเริ่มบูตเครื่องใหม่ คล้ายๆ กับการสั่ง Restart แต่ระบบจะไม่ได้มีการเก็บค่าต่างๆ ไว้ให้เรียบร้อย จึงทำให้เมื่อบูตกลับขึ้นมาก็จะเจอหน้าจอให้เราเลือกเหมือนตอนเปิดเครื่อง หลังไฟดับ ก็ให้ทำตามขั้นตอนเดียวกับไฟดับได้เลยค่ะ

ใครที่คิดว่าปิดเครื่องไปเลยดีกว่า ก็สามารถกดปุ่ม Power เพื่อปิดได้เลย โดยกดปุ่ม Power เพื่อปิดนี้ ให้กดค้างไว้ประมาณ 4 วินาที หรือกดไปจนกว่าเครื่องจะดับ ซึ่งจะกินเวลาไม่เกิน 10 วินาทีหรอกค่ะ หรือว่าถ้ามันไม่ดับจริงๆ ก็คงต้องใช้ไม้แข็งถอดปลั๊กกันเลยก็ได้ แต่วิธีนี้ไม่ค่อยอยากแนะนำค่ะเอาเป็นตัวเลือกสุดท้ายจะดีกว่า ส่วนเครื่องใครที่สั่ง Shutdown แล้วไม่ยอมปิด แต่จะขึ้นหน้าจอ It’s now safe to turn off your computer ขึ้นมาแทนก็สามารถใช้วิธีการกดปุ่ม Power ค้างไว้จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด

กรณีที่ 3 เครื่องติด จอไม่ติด

ถ้าวันดีคืนดี เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วเครื่องเปิดติด ไฟติด พัดลมหมุน แต่ดันไม่มีภาพขึ้นที่จอ คงเป็นฝันร้ายของใครหลายคนแน่ๆ ยิ่งถ้าต้องรีบใช้คอมพิวเตอร์ทำงานด้วยแล้ว จะตรวจสอบยังไง และจะแก้ไขอะไรได้บ้าง เราไปดูกันเลย

อย่างแรกให้เช็คจอกันก่อนว่าจอภาพเปิดสวิตซ์อยู่หรือเปล่า? ปลั๊กไฟเสียบถูกต้องหรือไม่? อันนี้ของมันแน่นอนอยู่แล้วไม่น่าจะมีใครลืมใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไปทั้งๆ ที่เป็นเรื่องพื้นฐานและเช็คกันงายนิดเดียวเอง

เอาละนะ เมื่อเช็คจอเรียบร้อยก็มาเช็คสายสัญญาณกันต่อ สายสัญญาณของจอมีการต่อกับคอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องแล้วหรือเปล่า? สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งก็คือในเครื่องที่มีกราฟิกการ์ดแบบออนบอร์ดมาให้ แล้วติดตั้งการ์ดจอเพิ่มเข้าไป จะมีช่องสำหรับต่อจอภาพอยู่ 2 ส่วนในกรณีต้องต่อช่องที่ออกมาจากการ์ดที่ใส่เพิ่มเข้าไปนะคะ ซึ่งส่วนมากจะอยู่เป็นพอร์ตที่อยู่ด้านล่าง

อีกกรณีหนึ่งคือกรณีที่เป็นการ์ดจอรุ่นใหม่ มักจะมีช่องต่อจอมาให้ 2 ช่อง 2 แบบ คือ D-Sub 15 pin กับช่องต่อแบบ DVI ที่ใช้ต่อกับจอแอลซีดีซึ่งมันจะมีการตรวจสอบจอที่ต่ออยู่กับพอร์ตเหล่านี้ และส่งสัญญาณภาพออกไป ดังนั้น เป็นไปได้ว่าถ้าการ์ดจอรวน มันก็อาจส่งสัญญาณภาพไปผิดพอร์ต ก็ควรจะลองต่อดูทั้งสองช่องค่ะ


ถ้ายังไม่ได้อีกก็อาจจะต้องลองหาจอสำรองมาต่อแทน หรือเอาจอไปเช็กว่าจอภาพสามารถแสดงผลได้ตามปกติหรือไม่นะคะ แต่ถ้าเช็กจนแน่ใจแล้วคราวนี้คงต้องมาดูกันที่เครื่องคอมพิวเตอร์กันแล้วละค่ะ ว่ามีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า? เช่น มีเสียงร้อง Beep..Beep เป็นจังหวะหรือไม่? หรือว่านิ่งเงียบไปเลย ซึ่งเสีย Beep เหล่านี้จะเป็นการฟ้องความผิดพลาดที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การ์ดจอเสีย แรมมีปัญหา หรือถ้าเงียบไปเลยก็อาจจะเป็นซีพียูหรือเมนบอร์ดมีปัญหา งานนี้ส่งช่างจะเหมาะสมที่สุด

กรณีที่ 4 มีสัตว์ประหลาดแฝงกายอยู่ในเครื่อง

สังเกตมั๊ยคะว่า.. ภายในเคสของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น มันช่างเป็นที่เหมาะเจาะที่บรรดาสารพัดสัตว์เข้าไปแวะเวียนพักพิงอาศัยกัน อยู่บ่อยๆ ประหนึ่งว่าเป็นศาลาพักใจอะไรทำนองนั้น อ่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงก๊อดซิลล่านะคะ และก็ไม่ได้พูดเล่นด้วยเพราะผมกำลังหมายถึงบรรดา มด หนู แมลงสาบ แมงมุม จิ้งจก หรือแม้แต่งู ฮั่นแน่! ไม่เชื่อละซิว่าจะมีจริงๆ (หัวงู)

มีผู้ใช้บางคนหวังดีกับเครื่อง คือ ไม่อยากให้เครื่องคอมพ์ร้อน ก็เลยเปิดผ่าด้านข้างของเคสไว้อย่างนั้นแหละ ซึ่งแบบนี้ละค่ะที่สรรพสัตว์ทั้งหลายมักจะถือโอกาสแวะมาทักทายอยู่เรื่อยๆ และถ้ามันชอบอกชอบในก็อาจจะถึงขั้นย้ายครอบครัวหรือชวนเพื่อนๆ มาตั้งวงสนทนากันอยู่เรื่อยๆ


การที่หนูหรือบรรดาสัตว์ที่ไม่น่าพึงประสงค์ทั้งหลายมารวมตัวกันเช่นนี้ มันอาจกัดหรือทำลายสายไฟหรืออุปกรณ์ในนั้นได้ ดังนั้น ถ้าวันดีคืนดีก็มีเสียงที่ส่ออาการว่าจะมีอะไรเข้าไปอาศัยอยู่ภายในเคส ก็ควรรีบปิดเครื่อง และปิดฝาเคสออกมาตรวจสอบโดยด่วน

เมื่อเปิดฝาเคสออกมาแล้ว ก็หาตัวการให้เจอก่อน ตามซอกตามมุมต่างๆ ถ้าเป็นมด ก็มองตามขบวนมันไปครับว่าเดินออกมาจากตรงไหน ก็เข้าไปทำความสะอาด ปัดรังมันออกมาซะ งานนี้ไม่ต้องปรานี ถ้าเป็นพวกใยแมงมุมก็เอาแปรงไปปัดๆ ออกมา ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเจอตัวเป็นๆ หรอกค่ะ อ้อ! ระวังพวกสัตว์มีพิษด้วยนะคะ เดี๋ยวมันจะกัดเอา

หลังจากจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วให้เช็กสายไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ดูว่า มันอยู่ดีมีสุขกันหรือไม่? สายไฟแน่นหนาครบทุกสายหรือถูกหนูมันแทะเล็มไปแล้ว ตรวจดูความชื้นด้วยนะคะ เผื่อมันฝากฉี่หรือน้ำลายเอาไว้ อาจทำให้เครื่องช็อตได้ จากนั้นก็ลองเปิดเครื่องดู ถ้าหากเครื่องยังใช้ได้ตามปกติแล้วก็ควรจะหาเคสมาปิดฝาให้เรียบร้อย เพราะคุณอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งนี้เสมอไป

กรณีที่ 5 USB ไดรฟ์ไม่โชว์ (USB not recognized)

เคยไหมคะ? ที่เวลาเอา Flash Drive ที่เราใช้งานอยู่เป็นประจำ หรืออันที่เพิ่งซื้อมาใหม่มาใช้งาน แล้วพอเสียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์ปุ๊บ ก็มีป็อปอัพเด้งขึ้นมาตามปกติ เพียงแต่ข้อความแทนที่จะเป็นการแจ้งว่าอุปกรณ์ของคุณพร้อมใช้งาน กลับกลายเป็น USB not recognized ซึ่งหมายถึงวินโดวส์ไม่รู้จักอุปกรณ์ขึ้นมาซะดื้อๆ อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ เป็นแค่ Flash Drive ที่สามารถใช้งานทันทีในมาตรฐาน USB Mass Storage อยู่แล้ว

ปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุค่ะ ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่เกิดจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่วินโดวส์ไม่มีไดรเวอร์อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจกันหรอกนะคะ แต่เกิดจากการทำงานผิดปกติของตัวพอร์ต USB ขาดในกรณีที่ใช้ช่องเสียบด้านหน้าที่ต้องมีสายต่อไปยังเมนบอร์ดอีกทอดหนึ่ง หรืออาจจะเป็นไฟฟ้าที่จ่ายไปให้อุปกรณ์อย่างพวก Flash Drive จาก พอร์ต USB ไม่เพียงพอ อุปกรณ์เลยไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง วินโดวส์ก็เลยไม่สามารถตั้งค่าไดร์เวอร์ให้ได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

วิธีการแก้ไขที่ง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณใช้ USB Hub ที่เสียบอุปกรณ์ต่อพ่วงไว้ด้วยกันเยอะๆ ให้ถอดอุปกรณ์บางตัวที่ไม่ได้ใช้ออก หรือเปลี่ยนจากการเสียบที่ USB Hub ไปเสียบที่พอร์ตที่ตัวเครื่องโดยตรงจะดีที่สุด เพราะมันจะได้รับไฟอย่างเต็มที่และทำงานได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเสียบโดยตรงแล้วก็ยัง USB not recognized อยู่ละก็ งานนี้คงต้องลองเปลี่ยนพอร์ตไปเรื่อยๆ ถ้าเคยเสียบด้านหน้าแล้วไม่สามารถทำงานได้ ก็ลองย้ายไปเสียบด้านหลังดู เปลี่ยนพอร์ตไปเรื่อยๆ ต้องมีสักพอร์ตที่ทำงานได้

ไม้ตายสุดท้าย ถ้ายังไม่สามารถหาพอร์ตที่ใช้งานได้อีกละก็ แสดงว่าพอร์ต USB บนเมนบอร์ดของคุณอาจจะมีปัญหา หรือไม่ก็อุปกรณ์อย่าง Flash Drive หรืออาจจะเป็น External Harddisk ของคุณกินไฟมากผิดปกติ งานนี้คุณจะต้องหาอุปกรณ์มาช่วยค่ะ นั่นคือ USB Hub แบบที่มี adapter สำหรับให้ต่อเพื่อจ่ายไฟเพิ่มได้ด้วย วิธีการนี้จะทำให้อุปกรณ์ของคุณมีไฟเลี้ยงเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้ายังไม่ได้อีก อาจจะเป็นที่ตัวอุปกรณ์เสียมากกว่า

กรณีที่ 6 จอเพี้ยน

เรื่องของ Refresh Rate เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นจอเพี้ยน จอดับหรืออาการ Out of range ได้บ่อยๆ เช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นจอ CRT แล้วเกิดอาการผิดปกติของ Refresh Rate ตอนเปิดเครื่อง ก็อาจทำให้เกิดจอเพี้ยน เป็นคลื่นๆ มองภาพไม่รู้เรื่องได้เหมือนกัน

วิธีการแก้ไขเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดก็คือ การสั่ง Restart เครื่องโดยอาจจะใช้คีย์บอร์ด Windows+U+R จากนั้นในขณะที่เครื่องกำลังบูตให้กดปุ่ม F8 เพื่อเข้าสู่ Boot Menu ที่จะมีออปชันให้คุณได้เลือกเข้า Safe Mode ซึ่งใน Safe Mode นี้จะมีการเรียกใช้ค่า Refresh Rate มาตรฐาน จึงทำให้ทำงานได้ตามปกติ

คราวนี้เมื่อเข้าสู่วินโดวส์ได้ คุณจะต้องไปปรับค่า Refresh Rate ให้เป็นค่าที่เหมาะสมที่จะสามารถใช้งานได้โดยคลิ้กขวาที่ Desktop จากนั้นเลือก Properties แล้วไปที่ Tab ชื่อ Setting คลิ้กปุ่ม Advance แล้วไปที่ Tab ชื่อ Monitor ซึ่งจะมีค่า Refresh Rate ให้ปรับ ซึ่งค่าที่เหมาะสมที่สุดจะเป็น adapter default หรือค่าต่ำสุดเท่าที่จะเลือกได้ และปรับความละเอียดของหน้าจอให้ต่ำๆ เข้าไว้ โดยเฉพาะจอขนาดเล็ก เมื่อปรับทุกอย่างเสร็จแล้วจึงสั่ง Restart เครื่องเพื่อดูผล

ในกรณีที่คุณแก้ไขจากอาการจอเพี้ยนข้างต้นมาแล้ว และต้องการปรับค่าความละเอียดหรือ Refresh Rate กันใหม่ เพื่อให้เหมาะสมตามความต้องการ ให้ลองปรับค่าตามที่คู่มือจอระบุให้เป็นค่าที่แนะนำให้ปรับเสียก่อน อย่างเช่น จอ LCD 17 นิ้ว จะมีค่าความละเอียดอยู่ที่ 1280x1024 ส่วน Refresh Rate จะอยู่ที่ 60-75 Hz แล้วแต่รุ่นของจอ เมื่อกด Apply และเห็นหน้าจอที่ปรับใหม่ได้ตามปกติแสดงว่าใช้งานได้ แต่ถ้าหน้าจอกลับมืดไป หรือว่าเป็นคลื่นๆ ไป จนไม่สามารถมองอะไรเห็น ไม่ต้องตกใจค่ะ ให้รอประมาณ 15-20 วินาที ทุกอย่างจะกลับมาเป็นค่าเดิมก่อนที่เราจะกด Apply

กรณีที่ 7 คอมพ์จอฟ้า

ปัญหาที่คนใช้คอมพ์เจอกันบ่อยๆ นั่นก็คือปัญหาจอฟ้า (Blue Screen) ซึ่งพอเจอก็มักจะเกิดอาการอึ้ง ทึ่ง เสียว แล้วก็ออกอาการงงๆ ทำอะไรไม่ถูก แล้วเราจะทำอย่างไร เมื่อประสบพบเจอกับปัญหาจอฟ้า ถ้าอย่างนั้นเราไปดูทางออกฉุกเฉินของปัญหานี้กันค่ะ

เมื่อเจอปัญหาจอฟ้า สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือทำใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตกอกตกใจอะไรไป จากนั้นให้สังเกตอาการที่เกิดขึ้น โดยคุณอาจจะจดโค้ดไว้เพื่อแก้ปัญหา เช่น 0x0000007E แล้วลองเอาโค้ดที่ได้ไปค้นหาในเว็บ เช่น Google แล้วคุณจะพบว่าโค้ดที่เกิดขึ้นมาสาเหตุจากอะไร ในส่วนนี้ต้องบอกว่า คุณอาจจะต้องเก่งภาษาอังกฤษผสมกับเทคนิคเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ

ปัญหาจอฟ้ามักจะเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ โปรแกรม และไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่างๆ ปัญหาที่เกิดจากโปรแกรมจะสังเกตได้ว่าจะสามารถปิดเครื่องได้ แต่อาการจอฟ้าจะเกิดเมื่อเปิดโปรแกรมที่มีปัญหา ถ้าคุณรู้ว่าเกิดจากโปรแกรมอะไร เมื่อ Uninstall โปรแกรมออกปัญหาก็จะหมดไป

ถ้าปัญหาเกิดจากไดรเวอร์ของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ คุณอาจจะเปิดเครื่องได้ แต่เข้าวินโดวส์ไม่ได้ เครื่องอาจจะมีการรีบูตตลอดเวลา ซึ่งปัญหาตรงนี้ บางครั้งทางแก้อาจจะต้องฟอร์แมตเครื่องแล้วลงระบบใหม่ทั้งหมด ก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไป ลองบูตเครื่องเข้า Safe mode ดูก่อน ถ้าเข้าได้ ก็จัดการเอาข้อมูลที่จำเป็นมาเก็บไว้ก่อน

แต่ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ คงต้องถอดเอาฮาร์ดดิสก์ไปจั๊มป์กับเครื่องอื่น แล้วเอาข้อมูลที่สำคัญออกมา จากนั้นค่อยฟอร์แมตแล้วเอาข้อมูลที่สำคัญออกมา จากนั้นค่อยฟอร์แมตแล้วลงเครื่องใหม่ค่ะ ซึ่งการลงระบบใหม่ ผมแนะนำให้ค่อยๆ ลงไดรเวอร์ทีละตัว ระบบใหม่ ผมแนะนำให้ค่อยๆ ลงไดรเวอร์ทีละตัว ลงหนึ่งตัวรีบูตหนึ่งครั้ง เพื่อเช็คดูว่าปัญหาเกิดที่ไดรเวอร์ตัวไหน เมื่อพบไดรเวอร์ที่มีปัญหา ให้เข้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นๆ แล้วดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่มาใช้แทนตัวที่มีปัญหา

Blue Screen of Death คัมภีร์แก้ปัญหาจอมรณะ

กรณีที่ 8 ช่วยด้วย! กาแฟ...หก รดคีย์บอร์ด

เรามักได้รับคำเตือนอยู่เสมอๆ ว่าไม่ควรนำอาหารและเครื่องดื่มไปอยู่ใกล้คอมพิวเตอร์ ซึ่งสาเหตุของข้อห้ามนี้คงไม่เกี่ยวกับว่ากลัวคอมพิวเตอร์จะแย่งเรากินอย่าง แน่นอน แต่เป็นเหตุผลง่ายๆ ว่ากลัวว่าเศษอาหารจะทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค กลิ่น รวมถึงอาจเป็นตัวดึงดูดให้พวกแมลงสาบ มด หรือหนูเข้าไปทำอันตรายให้กับคอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้

ส่วนพวกน้ำและกาแฟนั้น หากอยู่ใกล้คุณ (หรือเพื่อน) ก็อาจจะเผลอไปปัดให้หก ซึ่งเราก็ทราบดีอยู่แล้วว่าพวกอุปกรณ์ไอทีไม่ค่อยจะถูกชะตากับน้ำ หรือชากาแฟทั้งหลาย แต่ถ้าเมื่อพยายามป้องกันแล้วก็ยังพลาดท่าเสียที เผลอไปทำกาแฟหรือน้ำหกลงบนคีย์บอร์ดเข้าจนได้ ก็ควรทราบวิธีแก้ไขในเบื้องต้น

สิ่งแรกที่ควรทำคือรีบถอดสายคีย์บอร์ดออกจากตัวเคสก่อน จากนั้นให้รีบเทน้ำหรือกาแฟออกโดยด่วน แล้วค่อยหาผ้าแห้งมาเช็ดทำความสะอาด หากไม่แน่ใจก็อาจใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดบิดให้แห้งมาทำความสะอาด หรือถ้าสามารถหาไดร์เป่าผมมาเป่าได้ก็คงจะดี แต่ห้ามใช้ปากเป่านะครับ เพราะอาจเป็นการเพิ่มน้ำ (จากน้ำลาย) โดยใช่เหตุ แต่ถ้าไม่มีอะไรมาเป่าจริงๆ ก็ต้องทิ้งไว้ให้แห้งสักวันหรือสองวัน แล้วจึงนำไปเสียบกับคอมพิวเตอร์ดูว่ายังใช้งานได้เหมือนเดิมหรือไม่? ถ้าไม่ได้ก็คงต้องเปลี่ยนคีย์บอร์ดอันใหม่แล้วละค่ะ คิดซะว่าได้ของใหม่ จะได้ไม่เครียดไงคะ

กรณีที่ 9 เสียงส่ออันตราย

คิดว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินเสียงร้องจากคอมพิวเตอร์หลังจากที่เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้น จากนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพบว่า เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้เลย ซึ่งสัญญาณที่ดังขึ้นมานั้นจะแตกต่างกัน เพราะบางทีก็ดังครั้งเดียว หรือบางทีก็ดัง 2 ครั้ง ซึ่งในตอนนี้จะพูดถึงสัญญาณที่หลายคนมักจะเจอะเจอกันบ่อยๆ และสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ก็อย่าลืมว่าไบออสนั้นก็มีหลายยี่ห้อ จึงมีเสียงและความหมายที่แตกต่างกัน ก็อาจจะต้องพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ประกอบด้วย

เทคนิควิเคราะห์อาการเสียจากไบออส Award

     สำหรับเมนบอร์ดที่ใช้ไบออสยี่ห้อ Award นี้สัญญาณ เสียง Beep Code จะฟังค่อนข้างง่ายไม่ซับซ้อนเหมือนไบออสยี่ห้ออื่น โดยเสียงที่ได้ยินจะเป็นเสียง " ปี๊บ" สั้นและยาวสลับกันซึ่งเราจะสังเกตอาการเสียได้จากจำนวนครั้งในการส่งเสียง ร้องเตือน โดยมีจังหวะดังนี้

จังหวะเสียง
ความหมาย
เสียงดัง 1 ครั้ง
แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอน Post เป็นปกติ
เสียงดัง 2 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม
เสียงดัง 3 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม
เสียงดังต่อเนื่อง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแหล่งจ่ายไฟ เช่น เพาเวอร์ซัพพลาย หรือเมนบอร์ดอาจมีปัญหา ให้ตรวจสอบ เพาเวอร์ซัพพลาย และเมนบอร์ด
เสียงดังถี่ ๆ
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนเมนบอร์ดให้ตรวจสอบสายสัญญาณต่าง ๆ และตัวเมนบอร์ด
เสียงดัง 6 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของคีย์บอร์ด ให้ตรวจสอบคีย์บอร์ด
เสียงดัง 7 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่
เสียงดัง 8 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่
เสียงดังยาว 1 สั้น 2
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่
เสียงดัง 9 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่
เสียงดัง 10 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด
ไม่มีเสียง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ เพาเวอร์ซัพพลาย, เมนบอร์ด หรือซีพียู รวมถึงสายสัญญาณ และสายไฟต่าง ๆ
เทคนิควิเคราะห์อาการเสียจากไบออส AMI

    สำหรับจังหวะสัญญาณ Beep Code ของไบออส ยี่ห้อ AMI นั้นค่อนข้างมีส่วนคล้ายกับของไบออสยี่ห้อ Award อยู่พอสมควร เพราะจังหวะ สัญญาณนั้นฟังได้ง่ายไม่ซับซ้อนโดยแต่ละสัญญาณเสียงที่เป็นปัญหาหลัก ๆ จะมีความหมายดังนี้

จังหวะเสียง
ความหมาย
เสียงดัง 1 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
เสียงดัง 2 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม
เสียงดัง 3 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม
เสียงดัง 4ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพ Timmer อาจต้องเปลี่ยนชิพหรือเมนบอร์ดใหม่
เสียงดัง 5 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่
เสียงดัง 6 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพควบคุมคีย์บอร์ดเสีย หรือไม่อาจเป็นที่ตัวคีย์บอร์ดเอง อาจต้องเปลี่ยนชิพ,เมนบอร์ด หรือคีย์บอร์ดใหม่
เสียงดัง 7 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของซีพียู อจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่
เสียงดัง 8 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่
เสียงดัง 9 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่
เสียงดัง 10 ครั้ง
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด
เสียงดังสั้น ๆ 2 ครั้ง เสียงดังยาว 1 สั้น 2 แสดงว่ามีปัญหาในขั้นตอนการ Post ที่มีบางขั้นตอนไม่ผ่าน แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์แสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่
เสียงดังยาว ๆ 1 ครั้ง แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอนการ Post เป็นปกติ
เทคนิควิเคราะห์อาการเสียจากไบออส Phoenix

    สำหรับเมนบอร์ดที่ใช้ ไบออสไบออส Phoenix นี้สัญญาณเสียง Beep Code จะมีรายละเอียดมากและค่อนข้างฟังยากทีเดียว ต้องอาศัยความชำนาญ เล็กน้อย โดยสัญญาณเสียงจะแบ่งออกเป็น 3 จังหวะในแต่ละจังหวะอาจมีเสียงร้องไม่เหมือนกัน (หากนับไม่ทันควรรีสตาร์ทเครื่องแล้วเริ่มนับใหม่อีกครั้ง ) โดยแต่ละสัญญาณเสียงที่เป็นปัญหาหลัก ๆ จะมีความหมายดังนี้

จังหวะเสียง
ความหมาย
1-1-3
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการอ่านค่า CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
1-1-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่
1-2-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพ Timer ซึ่งเป็นตัวตั้งเวลาเสียต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
1-2-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
1-2-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
1-3-1
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด เนื่องจากรีเฟรชค่าแรมไม่ผ่านอาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
1-3-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม ซึ่งอาจมีปัญหาในส่วนแอดเดรสแรก 64 KB อาจต้องเปลี่ยนแรมใหม่
1-3-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม หรือเมนบอร์ดเสีย ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งสองนี้
1-4-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม หรือเมนบอร์ดเสีย ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งสองนี้
1-4-2
แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรมบางแถว ให้ตรวจสอบแรมทุกแถวที่มีอาจต้องเปลี่ยนแรมใหม่

2-1-1,2-1-2,
2-1-3,2-1-4

แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม ซึ่งอาจมีปัญหาในส่วนแอดเดรสแรก 64 KB อาจต้องเปลี่ยนแรมใหม่
3-1-0 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพบางตัวบนเมนบอร์ดเสีย อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
3-1-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ดเสีย ควรตรวจสอบเมนบอร์ด
3-1-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ดเสีย ควรตรวจสอบเมนบอร์ด
3-1-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของอินเตอร์รัพต์ที่ 2 เสีย
3-1-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของอินเตอร์รัพต์ที่ 1เสีย
3-2-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิปบางตัว บนเมนบอร์ด ทำงานผิดพลาด ควรตรวจสอบเมนบอร์ด
3-3-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการติดตั้งการ์ดแสดงผล ควรตรวจสอบว่าได้เสียบการ์ดลงบนสล๊อตแน่นหรือยัง
3-4-0 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการติดตั้งการ์ดแสดงผลเสีย อาจจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่
3-4-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของสัญญาณจอภาพอาจมีปัญหา
3-4-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการติดตั้งการ์ดแสดงผล ควรตรวจสอบว่าได้เสียบการ์ดลงบนสล๊อตแน่นหรือยัง
4-2-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพบางตัวบนเมนบอร์ดเสีย อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-2-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิปควบคุมการทำงานของเมนบอร์ดเสียหรือไม่ที่ตัวคีย์บอร์ดเอง ควรตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้
4-2-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิปควบคุมการทำงานของเมนบอร์ดเสียหรือไม่ที่ตัวคีย์บอร์ดเอง ควรตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้
4-2-4 แสดงว่ามีปัญหากับการ์ดบางตัวบนเมนบอร์ดหรือไม่ก็เมนบอร์ดเสีย ควรตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งสองอย่างนี้
4-3-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-3-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-3-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-3-4 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการตั้งวันและเวลา ควรตรวจสอบการตั้งวันและเวลาใหม่ อาจต้องเปลี่ยนแบเตอรี่หรือชิปไทม์เมอร์
4-4-1 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ Serial Port อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-4-2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ Pararel Port อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
4-4-3 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของตัวคำณวนทางคณิตศาสตร์เสีย อาจต้องเปลี่ยนซีพียูหรือเมนบอร์ดใหม่
กรณีที่ 10 CDROM ติดไม่ทำงาน

มีใครเคยเจอปัญหาบ้างมั๊ยคะ? เวลาใส่แผ่นซีดีเข้าไปที่ไดรฟ์ซีดีรอม แล้วเครื่องอ่านอยู่นั่นแหละ อ่านไม่หยุด จนแฮงก์ หรือไม่สามารถนำแผ่นซีดีรอมออกได้
เชื่อว่าใครก็ตามที่ประสบกับปัญหานี้คงรู้สึกเซ็งแทบนั่งกุมขมับกันเลยที เดียว เอาละครับ ฉันมีแนวทางแก้ไขมาฝาก ดังนี้

สาเหตุ : ตัวการที่ทำให้ซีดีรอมติดค้าง ไม่สามารถเปิดได้นั้น จะอยู่ที่กลไกในการดีดถาดออกมา หรือความสกปรกของหัวอ่านซีดี และแผ่นเป็นรอยเป็นต้น

วิธีแก้ไข : การแก้ไขเบื้องต้นนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ออกแรงสักนิดหนึ่ง และต้องมีเครื่องมือ นั่นคือ คลิป หนีบกระดาษนั่นเอง วิธีการมีดังนี้
- ให้นำคลิปหนีบกระดาษมาดัดให้มีลักษณะเป็นตัว L
- จากนั้นนำคลิปหนีบกระดาษที่ดัดเรียบร้อยแล้วสอดเข้าไปในรูเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านหน้าของซีดีรอม
- ต่อไปก็ค่อยๆ เขี่ย จะรู้สึกได้ว่าปลายคลิปนั้นไปติดกับเฟืองสำหรับดีดถาดออกมา
- ถ้าหากเขี่ยแล้ว ถาดไม่เลื่อนออกมา ให้ใช้มือค่อยช่วยงัดออกมา แต่ต้องระวังด้วยนะ ไม่งั้นจะเสียแบบถาวร

เอาละค่ะ ครบถ้วนทั้ง 10 กรณีกันไปเรียบร้อย ความจริงแล้วมันคงมีเหตุฉุกเฉินที่นอกเหนือจากนี้ไปบ้างแหละค่ะ แต่ที่นำมาเสนอในบทความนี้คือสาเหตุส่วนใหญ่ที่หลายคนมันจะพบอยู่บ่อยๆ ก็เอาเป็นว่ารู้วิธีแก้ไขเบื้องต้นกันก่อน ถ้าเหลือบ้ากว่าแรงจริงๆ เราก็คงจะต้องพึ่งผู้ชำนาญกว่า

อ้างอิงข้อมูลจาก COMPUTER.TODAY

สวัสดีค่ะ

  • ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
  • ขอขอบพระคุณเกี่ยวกับความรู้เรื่องคอมมากค่ะ
  • http://gotoknow.org/blog/krukim/344561
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท