ชื่อเรื่องภาษาไทย กระบวนการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ Process of Forces for Sustainable in Community Business
ชื่อผู้วิจัย นายบรรชร กล้าหาญ Mr.Banchon Klahan
ตำแหน่ง/สังกัด ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่
วุฒิการศึกษา ปริญญาโท สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ
ผู้วิจัยร่วม นางรุ่งทิพย์ กล้าหาญ Mrs.Roungthip Klahan
ตำแหน่ง/สังกัด อาจารย์ และรองผู้อำนวยการสำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่
วุฒิการศึกษา ปริญญาโท สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ
นักวิจัยร่วมในชุมชน
นายประเสริฐ ทะลาบุญ
นายทองสุข ธาตุอินทร์จันทร์
นายจีรพัฒน์ ธาตุอินทร์จันทร์
ปีที่ทำวิจัยสำเร็จ ปี พ.ศ. 2551
แหล่งทุนวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ผ่านสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา ปีงบประมาณ 2550
ความเป็นมา
การพัฒนาภายใต้กรอบคิดระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ได้สร้างปัญหาวิกฤตทางสังคม เศรษฐกิจ และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการแสวงหาทุนทางสังคมซึ้งได้แก่พลังคน พลังกลุ่ม พลังทุน พลังธุรกิจ พลังเอื้ออาทร และพลังการเรียนรู้ พร้อมทั้งประกาศนโยบายเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองให้เป็นรากฐานในการสร้างความมั่นคงและหลักอิงประเทศ
ธุรกิจชุมชนเป็นกระบวนการทางสังคมที่ถูกคัดสรรสำหรับการนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังประสบและเตรียมการเพื่อสร้างรากฐานการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจให้แก่สังคมไทย โดยใช้รากเหง้าของ “ วัฒนธรรม ” ที่มีอยู่ในสังคม จากความเชื่อว่า การพัฒนาธุรกิจชุมชน จะต้องใช้คนเป็นเป้าหมายและดำเนินการพัฒนาแบบองค์รวม หรือการพัฒนาอย่างบูรณาการ ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ จิตใจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การเมืองโดยใช้พลังทางสังคม ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนา ในรูปแบบของกลุ่ม เครือข่ายหรือประชาสังคม กล่าวคือเป็นการผนึกกำลังของทุกฝ่ายในลักษณะ “ พหุภาคี ” ประกอบด้วย รัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาธุรกิจชุมชนคือ “ คุณภาพชีวิตที่ดี ” ของทุกคนในสังคม เพราะธุรกิจชุมชน เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนได้มีโอกาสในการเรียนรู้วิธีการจัดการธุรกิจ การทำงานร่วมกันเพื่อตัวเองและเพื่อส่วนร่วมตลอดจนได้เรียนรู้ถึงการจัดการผลประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชน ทำให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง อนึ่งสิ่งสำคัญยิ่งของแนวคิดธุรกิจชุมชนภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือ หลักการของพระพุทธศาสนาที่เน้นการพึ่งตนเอง เน้นความเป็นชุมชน และเน้นวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย ที่ยึดมั่นในสัจจะ การทำความดี ความมีเมตตา การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการมีความสมานฉันท์
จากปรากฏการณ์รุกฆาตของระบบเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัฒน์ที่ผ่านมา ได้เกิดการรวมกลุ่มของชาวบ้านทั่วประเทศนับหมื่น ๆ กลุ่ม เพื่อดำเนินกิจกรรมธุรกิจชุมชน โดยอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์จากหน่วยงานภาครัฐ และกลุ่มธุรกิจ หากแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะ เป็นไปเพื่อบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าของสมาชิก ไม่สามารถแข่งขันทางการตลาด จึงทำให้ธุรกิจชุมชนไม่สามารถเป็นที่พึงของชาวบ้านได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามยังคงมีธุรกิจชุมชนในบางแห่งการประสบความสำเร็จและสามารถพัฒนาให้ดำรงอยู่ โดยสามารถแสวงหาทุน วัตถุดิบ แรงงาน เทคโนโลยี ทักษะทางการผลิตและยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของสมาชิกในชุมชน เกิดกระบวนการเรียนรู้และฝึกสอนกันเองระหว่างชาวบ้าน จนสามารถสร้างเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ในชนบท เกิดความเข้มแข็งในระบบการผลิตด้านการเกษตรแบบพึ่งตนเอง และนำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเองของชุมชน พร้อมกับการถักสานเกลียวสัมพันธ์ดั้งเดิมของชุมชนให้เหนียวแน่นจากความสมเหตุสมผลในการทำธุรกิจกับคุณงามความดีและความสมานฉันท์ของสังคม ซึ่งพัฒนาการของกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมิได้ดำเนินอย่างราบเรียบ หากแต่ต้องเผชิญกับปัจจัยและเงื่อนไขในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบที่เป็นอันตราย (เป็นปฏิปักษ์) และแบบเป็นมิตร (เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อกัน) ซึ่งการเผชิญหน้าสิ่งต่างๆนี้ ชุมชนจะต้องมีศักยภาพและความสามารถในการจำแนกแยกแยะและการจัดการที่ถูกต้อง โดยรวมก็คือการต่อสู้ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจเพื่อป้องกันการเอาเปรียบจากภายนอก การตัดสินใจ ความสัมพันธ์ทางสังคมและคุณค่าดั้งเดิมของชุมชนให้ดำเนินไปพร้อมกับการพัฒนาซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีทิศทางและเท่าทัน
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเกิดข้อสงสัยว่า ท่ามกลางความผันแปรและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ชุมชนมีกระบวนการในการประคองธุรกิจของชุมชนได้อย่างไร ซึ่งหมายถึง มีกระบวนการต่อสู้ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมอย่างไร และมีกระบวนการในการพัฒนาธุรกิจเช่นไร รวมทั้งมีองค์ประกอบ และปัจจัยเงื่อนไขอะไรบ้างที่ทำให้ธุรกิจของชุมชนดำรงอยู่ ดังนั้นหากมีการวิจัยหาคำตอบร่วมกับชุมชนที่มีคุณลักษณะที่สอดคล้องกับประเด็นปัญหาในการวิจัย เชื่อว่าจะเป็นการถอดประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมอาชีพและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งนำไปเผยแพร่แก่ชุมชนอื่น ๆ ต่อไป
แนวคิด ทฤษฎี
ก. ทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่
ข. แนวคิดเรื่องทุนในการจัดการธุรกิจชุมชน
ค. แนวคิดเกี่ยวกับกลุ่ม
ง. แนวคิดการพึ่งตนเอง
จ. แนวคิดการจัดการความรู้
ฉ. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งทั้งหมดได้ถูกใช้สร้างเป็นกรอบคิดในการวิจัยโดยมีความเชื่อว่า ธุรกิจชุมชนเป็นกระบวนการทางสังคม เป็นวิถีชุมชน หรือวัฒนธรรมของชุมชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่มีหลักคำสอนทางพุทธศาสนาเป็นรากฐาน มุ่งใช้คนเป็นเป้าหมายและเน้นการพัฒนาแบบองค์รวมหรือการพัฒนาแบบบูรณาการทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตใจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลังทางสังคมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนา ในรูปของการรวมกลุ่ม เครือข่าย หรือประชาสังคม ในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนา โดยเฉพาะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน ศักยภาพของชุมชนเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการธุรกิจชุมชนทั้งในส่วนของกระบวนการวางแผน การจัดการ การตัดสินใจ โดยใช้ระบบวัฒนธรรม ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจและโครงสร้างทางกายภาพของชุมชน เป็นองค์ประกอบและเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจชุมชนสามารถดำรงอยู่และพัฒนาอย่างยั่งยืน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษากระบวนการต่อสู้ของธุรกิจชุมชนโดยวิเคราะห์ถึง ความเป็นมาและพัฒนาการของกลุ่ม ตลอดจนสามารถในการจัดการธุรกิจชุมชน ได้แก่ โครงสร้าง แนวคิด และรูปแบบในการจัดการธุรกิจชุมชน
2. เพื่อศึกษาการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน โดยวิเคราะห์ถึง องค์ประกอบ และปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน
วิธีดำเนินการวิจัย
ก. ระเบียบวิธีการวิจัย ได้เลือกระเบียบวิธีเชิงคุณภาพโดยวิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีนักวิจัยจากชุมชนเข้าร่วมกระบวนการวิจัยจำนวน 3 คน ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชุมชนและเป็นคณะกรรมการบริหารกลุ่มแปรรูป โดยทั้งหมดมีบทบาทในการร่วมวางแผนการวิจัย การประสานผู้เข้าร่วมกิจกรรม การเก็บรวบรวม และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้เทคนิคการจัดเวทีเรียนรู้ การสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
ข. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนหมู่บ้านป่าไผ่ ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีปรากฏการณ์ตรงตามประเด็นของการวิจัย คือ เป็นชุมชนที่มีการก่อตั้งมาเป็นเวลาช้านานนับร้อยปี มีการสืบทอดระบบความเชื่อวัฒนธรรม ระบบการผลิต และระบบความสัมพันธ์ทางสังคม อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชุมชนได้ผ่านสถานการณ์ทั้งในทางสร้างสรรค์และส่งผลกระทบต่อชุมชน โดยเฉพาะในประเด็นทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อการพัฒนาอาชีพจำนวนหลายกลุ่ม ซึ่งในที่นี้ได้เลือกศึกษากลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่พบว่า มีการดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีการจัดองค์กรอย่างชัดเจนผ่านการเรียนรู้สะสมประสบการณ์ด้านธุรกิจชุมชน มีการปรับใช้ทุนทางสังคมเพื่อการดำเนินงาน และประสานองค์กรภายนอกอย่างเหมาะสม ทำให้สามารถพึ่งตนเองในการดำเนินงานได้อย่างน่าพอใจ จนได้รับการยอมรับจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้ที่มีส่วนร่วมได้เสียกับกลุ่มแปรรูปอาหารคือผู้บริหารและสมาชิกกลุ่มแปรรูปอาหาร จำนวน 25 ราย กลุ่มที่มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มแปรรูปได้แก่ กลุ่มประชาชนทั่วไป กลุ่มผู้นำชุมชนที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ
ค. การศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ประกอบด้วย การศึกษาข้อมูลจากเอกสาร โดยนำเอาทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ แนวคิดเรื่องทุนในการจัดการธุรกิจชุมชน แนวคิดเกี่ยวกับกลุ่ม แนวคิดการพึ่งตนเอง แนวคิดทุนในการจัดการธุรกิจชุมชน แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มาใช้เป็นกรอบคิดในการวิจัย พร้อมทั้งการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารที่เกี่ยวข้องได้แก่ แบบสำรวจข้อมูลพื้นฐานระดับหมู่บ้าน (กชช.2 ค.) ข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) เอกสารรายงานประจำปีของหมู่บ้าน
ง. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ด้วยการวิจัยครั้งนี้การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาในลักษณะ Holistic and Multifacts approach คือ ศึกษาจากปรากฏการณ์ที่หลากหลายแง่มุม และมองภาพในองค์รวมตามบริบททางสังคมและให้ความเคารพต่อผู้ที่ถูกศึกษา ดังนั้นจึงเก็บรวบรวมข้อมูลใน 4 ลักษณะได้แก่
1. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ได้แก่ เอกสารรายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำปีของกลุ่มแปรรูปอาหารและรายงานการวิจัยเกี่ยวกับชุมชน
2. การสังเกตทั้งโดยตรงคือ การสังเกตการณ์ การบันทึกภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย อาทิ การสังเกตการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม หรือการสังเกตการประชุมประจำปีของสมาชิกในกลุ่ม และ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตจากการทำกิจกรรมร่วมกับผู้ถูกศึกษา เช่น ร่วมในงานการทำบุญ การร่วมกิจกรรมพัฒนาชุมชน เวทีประชาคม ฯลฯ เพื่อพยายามสังเกตถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน แบบแผนกิจกรรมในชีวิตประจำวัน บทบาทและสถานภาพของสมาชิกในชุมชน และความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม
3. การสัมภาษณ์ ซึ่งเน้นบรรยายกาศแบบไม่เป็นทางการและมีการกำหนดประเด็นการสัมภาษณ์ไว้กว้าง ๆ ล่วงหน้า ในลักษณะคำถามปลายเปิด โดยมีประเด็นในการสัมภาษณ์มีดังนี้
- บริบทชุมชน ได้กำหนดหัวข้อ คือ ประวัติความเป็นมาของชุมชน สภาพพื้นฐานทางสังคม เศรษฐกิจ ประเพณี วัฒนธรรม และการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาการของชุมชน
- ศักยภาพในการจัดการธุรกิจของชุมชน ได้กำหนดหัวข้อคือ ความเป็นมาของกลุ่มธุรกิจชุมชน โครงสร้าง รูปแบบและแนวคิดในการบริหารจัดการธุรกิจชุมชน
- ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน ได้กำหนดหัวข้อคือ ลักษณะและองค์ประกอบของกลุ่ม ระบบทุนทางสังคมของกลุ่ม : ทุนด้านมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม ทุนปัญญา และทุนทรัพยากรธรรมชาติ การเรียนรู้ของกลุ่มและการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก
4. การจัดเวทีเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระกว้างขวางของผู้ที่ร่วมเวทีเรียนรู้ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมได้เสียในธุรกิจชุมชน เพื่อร่วมแสดงทัศนะต่อการบริหารจัดการธุรกิจชุมชนและปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน ซึ่งผลจากการจัดกิจกรรมเวทีการเรียนรู้ ทำให้เกิดความตระหนักร่วมถึงความจำเป็นในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็งสามารถดำรงอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง จึงเกิดแนวคิดและดำเนินโครงการอบรมเรื่องการพัฒนาคุณภาพการผลิตและการบริหารจัดการกลุ่ม รวมทั้งการศึกษาดูงานกลุ่มธุรกิจชุมชนที่มีการดำเนินงานในลักษณะใกล้เคียงกัน
จ.การตรวจสอบข้อมูลภาคสนาม เพื่อให้ข้อมูลที่ได้จากการศึกษามีความเที่ยงตรง และมีความน่าเชื่อถือ นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลโดยใช้วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation) โดยการตรวจสอบด้านข้อมูลเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลจากแหล่งที่มาทั้งด้านเวลา สถานที่ บุคคล และการตรวจสอบด้านทฤษฎี โดยตรวจสอบการตีความข้อมูลว่าเป็นไปตามกรอบทฤษฎีที่ใช้หรือไม่
ฉ. การสังเคราะห์และรายงานผล โดยสร้างข้อสรุปและสังเคราะห์ปรากฎการณ์เทียบทฤษฎี ทั้งนี้ในทุกระยะของการสรุปรายงาน นักวิจัยจะนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ไปตรวจสอบกับกลุ่มผู้ศึกษา เพื่อเป็นการเปรียบเทียบมุมมองระหว่างนักวิจัยกับผู้ที่ถูกศึกษา ทั้งยังเป็นการทำให้กลุ่มได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่ม ซึ่งทำให้ได้รับความพึงพอใจและความร่วมมืออย่างดีในการศึกษา
สรุปผลการวิจัย
ก.ความเป็นมาและพัฒนาการของกลุ่มธุรกิจชุมชน
กลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่ได้มีการรวมกลุ่มเพื่อแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรโดยมีพัฒนาตามลำดับ มีการแสวงหารูปแบบวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมกับกลุ่ม จนกระทั่งพบว่า ลักษณะโครงสร้างการบริหารคือ การผสมผสานระหว่างแนวตั้งและแนวนอน โดยมีการกำหนดบทบาท ปทัสถานและสถานภาพของสมาชิกในกลุ่ม ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทำให้สามารถปรับยืดหยุ่นตามสถานการณ์และความเหมาะสม เปิดโอกาสให้สมาชิกของกลุ่มมีส่วนร่วมในหลายลักษณะตามแต่สถานภาพของสมาชิก ที่สำคัญคือ คณะทำงานมีการปฏิบัติตามตำแหน่งอย่างแท้จริงมิใช่เพียงในนาม เน้นการคารพให้เกียรติระหว่างกัน เป็นพี่น้องเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ด้วยใจ ไม่ใช่เพียงผลประโยชน์ ทั้งมีการจัดสรรผลประโยชน์ตามบทบาทสถานภาพของสมาชิกของกลุ่ม และจัดสรรรายได้ของกลุ่มเพื่อการพัฒนาชุมชน ดังเช่น ในแต่ละปีได้มีการจัดสรรผลกำไรสุทธิ 10 % เพื่อการพัฒนาชุมชน 10 % เพื่อเป็นสวัสดิการแก่สมาชิกกลุ่ม 10 % นำเข้ากองทุนกลุ่ม เพื่อใช้ในการขยายการดำเนินการต่อไป นอกจากนี้กลุ่มได้จัดระบบในการสื่อสารที่มีลักษณะเป็นธรรมชาติสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งโดยรูปแบบที่เป็นทางการผ่านการประชุมประจำปีเพื่อชี้แจงสรุปงานและแบ่งเงินปันผล ฯลฯ หรือในยามที่ปกติแกนนำของกลุ่มก็จะมีการพูดคุยปรึกษาหารือระหว่างกันเสมอ ตามโอกาสต่าง ๆ เช่น การทำงานในไร่นา วัด ตลาดหรืองานต่าง ๆ ที่ได้มีโอกาสพบเจอกันตามลักษณะของสังคมชาวนาทั่วไป ประกอบกับพัฒนาการของกลุ่มที่มีการปฏิสัมพันธ์กับภายนอกมากขึ้น จึงเกิดการสร้างเครือข่ายที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ มีการประสานงานระหว่างกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนหรือ OTOP
ข. ศักยภาพของกลุ่มธุรกิจชุมชน
การดำรงอยู่และพัฒนาธุรกิจชุมชนของกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่ เกิดจากกลไกสำคัญคือ
ระบบการบริหารจัดการกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย ลักษณะโครงสร้างกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่เป็นองค์กรที่ผสมผสานจุดเด่นของความเป็นองค์กรแบบวัฒนธรรมชุมชนและประเพณีนิยมเดิมการใช้ศรัทธาและหลักธรรมทางศาสนาพุทธ รวมทั้งความเชื่อในเรื่องประเพณีเดิม ระบบอาวุโส ระบบเครือญาติเป็นกลวิธีในการแก้ปัญหาและสร้างเครือข่ายการทำงาน ซึ่งเมื่อนำมาผสมกับแนวคิดความเป็นองค์กรชุมชนสมัยใหม่ ใน วัฒนธรรมยุคอุตสาหกรรม ทำให้มีลักษณะเป็นองค์กรที่เปิดกว้างไม่ติดยึดกับวัฒนธรรมประเพณีนิยมมากเกินไป และตั้งอยู่บนพื้นฐานการใฝ่หาความรู้ เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิก มีความพยายามทำงานเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างกันทั้งภายในและนอกชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน ตลอดจนการปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ทำให้กลุ่มฯมีพลังในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองที่เท่าทันสภาพบริบทรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงไป
ในขณะที่รูปแบบการบริหารการผลิต มีการวางแผนจัดหาวัตถุมาในการผลิตและจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อป้องกันสินค้าขาดตลาดและมีวัตถุดิบเพียงพอกับการผลิต ในราคาต้นทุนที่เหมาะสมทั้งยังมีการควบคุมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จนได้รับการยอมรับมาตรฐานหลายด้านเช่น การรับรองมาตรฐาน OTOP ระดับห้าดาวโล่พระราชทานปี 2541 เครื่องหมายการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านการรับรองคุณภาพจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีฟอกสี สารบอแรกซ์ ทั้งยังได้รับรางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์ระดับประเทศ เครื่องหมายตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์อาหารอิสลามคือ ตราฮาลาน และยังได้รับรองมาตรฐาน GMP นอกจากนี้กลุ่ม ฯ ยังได้พัฒนาวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม เน้นสร้างสัญลักษณ์กลุ่มให้เป็นที่รู้จักและจดจำ ซึ่งเกิดจากการปรับประยุกต์ภูมิปัญญา ความรู้พื้นบ้านผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่
เช่นเดียวกับการบริหารการตลาด จากสภาพการณ์แข่งขันสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพื้นบ้าน และอุปสงค์ที่หลากหลายไร้ขอบเขตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่นิยมอาหารสำเร็จรูปจากโรงงานหรืออาหารสากลแบบตะวันตก ทำให้กลุ่มได้พยายามกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการตลาด เริ่มจากการระดมความคิดวิเคราะห์การตลาด การสร้างจุดขายที่เน้นกระบวนการทางธรรมชาติปราศจากสารเจือปน สร้างการจดจำรับรู้ในตราสินค้าภายใต้ชื่อ “ ป่าไผ่ ” และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เช่น การบรรจุขวดแก้วขนาดเล็ก - กลาง – ใหญ่ หรือการบรรจุถุงพลาสติก ทั้งยังมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและสร้างความแตกต่างให้แก่คู่แข่งขัน จากการจัดทำบรรจุภัณฑ์แบบกล่องที่สวยงามเพื่อเป็นของที่ระลึกหรือของฝาก และมีการกำหนดราคาจำหน่ายตามความเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการกำหนดช่องทางจำหน่ายสินค้า ทั้งทางตรง การขายปลีกผ่านคนกลางทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมการขายคือ การจัดทำแผ่นพับ การจัดแสดงสินค้าตามหน่วยงานต่าง ๆ การนำเสนอสินค้ากลุ่มทางอินเตอร์เน็ต
ทั้งนี้ด้านการบริหารการเงิน กลุ่มมีการระดมทุนและการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของกลุ่ม โดยการจัดสรรรายได้สุทธิจากการจำหน่ายร้อยละ 10 เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในการลงทุนของกลุ่ม และมีการกำหนดเงื่อนไขสินเชื่อสำหรับการรับสินค้าไปจำหน่ายของสมาชิก
ค. ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน
จากคุณลักษณะของกลุ่มฯ ที่พัฒนาจากกลุ่มธรรมชาติมีรากฐานจากความเป็นญาติมิตร และความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของสมาชิกกลุ่ม มีการเลือกสรรผู้นำที่มีความอดทน ซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือไว้วางใจ มีจิตสาธารณะ มีความสามารถ มีมนุษยสัมพันธ์ และมีความกระตือรือร้นเต็มใจที่จะทำกิจกรรมให้กลุ่ม ทำให้สมาชิกกลุ่มมีความไว้เนื้อเชื่อใจ มีศรัทธาต่อการทำงานของกลุ่ม ในขณะที่สมาชิกกลุ่ม มีความสามัคคี มีระเบียบวินัย ยอมรับและทำงานร่วมกันอย่างเกื้อกูลภายใต้กติกาของกลุ่ม ซึ่งเป็นผลจากการมีส่วนร่วมของสมาชิกในการจัดสรรผลประโยชน์และระบบการสื่อสารข้อมูลของกลุ่ม
กลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่มีทุนทางสังคมของชุมชนหลายด้าน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ โครงสร้างทางดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สามารถเพาะปลูกวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปของกลุ่ม มีแหล่งน้ำที่เอื้ออำนวย และสร้างความมั่นคงในระบบการผลิต ประกอบกับทำเลที่ตั้งของกลุ่มฯ ที่มีระยะห่างจากเขตเมืองพอสมควร มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกต่อการขนส่งผลผลิตออกภายนอกชุมชน เป็นการสะดวกต่อการติดต่อค้าขายกับชุมชนภายนอก มีโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พอเพียง อาทิ ระบบไฟฟ้า การประปา ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนนิยมนำพาบุคคลจากหน่วยงานต่าง ๆ ไปศึกษาดูงานของกลุ่ม ซึ่งช่วยสร้างความกระตือรือร้นในการพัฒนากิจกรรมของกลุ่ม และมีการเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ทำให้กลุ่มสามารถรับรู้ข้อมูลวิธีคิดจากสังคมภายนอกได้อย่างทันต่อกาล ส่งผลให้เกิดการปรับขยายโลกทัศน์ สามารถปรับตัวอย่างเท่าทัน เช่นเดียวกับทุนทางวัฒนธรรม ที่ถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม จนทำให้สามารถหล่อหลอมความรู้สึกของการเป็น “เรา” ของสมาชิกแต่ละคนให้เกิดเป็นความรู้สึก “พวกเรา”และทำให้เกิดความตระหนักในการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนากลุ่มจากการพัฒนาตนเองด้วยความรู้สึกว่าตนเองคือส่วนหนึ่งของกลุ่ม และมีคุณค่าต่อกลุ่ม
กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่เกิดจากได้สั่งสมประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน การปะทะสังสรรค์กับกลุ่มคนต่าง ๆ จนก่อเกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มที่สร้างวิธีคิดและวิธีปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนฐานของการมองความจริง เช่น การคิดอย่างเชื่อมโยง การสร้างผลทวีคูณ การสร้างเอกลักษณ์ การพึ่งตนเองความพอเพียง การร่วมมือ การกลมกลืนกับวิถีชีวิตและตลาดท้องถิ่น รวมทั้งจากประสบการณ์ในอดีต ที่มีบทเรียนเกี่ยวกับศักยภาพและทุนของกลุ่มสิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมเป็นกระบวนทัศน์การดำเนินงานของกลุ่มเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร การริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ โดยไม่เลียนแบบหรือแสวงหาสูตรสำเร็จ หากแต่ใช้ฐานภูมิปัญญาเดิมที่มีอยู่มาปรับประยุกต์ให้สมสมัยผนวกผสานกับความเป็นสากล โดยการวิเคราะห์ข้อมูลและค้นหาทางเลือกใหม่ที่เกิดจากการเรียนรู้ตัวอย่างและความสำเร็จของกลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมกลุ่มแบบบูรณาการที่มีการประสานผนึกพลังและเกื้อกูล
กลุ่มเกษตรกรแม่บ้านป่าไผ่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก โดยเฉพาะภาครัฐโดยมีการปฏิสัมพันธ์และพึ่งพิงอำนาจของรัฐฯในระดับหนึ่ง เพื่อประโยชน์เชิงสังคมในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม เช่น การสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนเพื่อสินเชื่อ ความรู้ในการผลิตและการจัดการ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของกลุ่มพัฒนาอื่น ๆ และแนวคิดการสร้างเครือข่ายกลุ่มพัฒนา ซึ่งรัฐฯได้ช่วยประสานงานให้เกิดพันธมิตรทางการค้ากับกลุ่มพัฒนาอาชีพในชุมชนอื่น ๆ ที่มีการรวมตัวเพื่อทำธุรกิจชุมชน เช่นเดียวกับสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มีบทบาทในการสนับสนุนเชิงวิชาการ กระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์เพื่อแสวงหาแนวทางพัฒนาตนเอง สร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในย่างก้าวของการพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างมีพลัง
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย
ก.ข้อเสนอแนะทางการปฏิบัติ
1. เนื่องจากกลุ่มธุรกิจชุมชนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา ทำให้กลุ่มจะต้องดิ้นรนต่อสู้ เพื่อหาหลักประกันการถูกเอาเปรียบ ซึ่งแบบแผนในการต่อสู้มักเป็นไปตามวิถีของวัฒนธรรมชุมชนเช่น การสร้างเครือข่ายหรือการขยายตลาดในพื้นที่ หากแต่สำหรับในภาวการณ์ที่การแข่งขันทวีความซับซ้อนมากขึ้นแบบแผนเดิมอาจมิได้ผลดีพอ จึงควรที่หน่วยงานเกี่ยวข้องจะสนใจแก้ไขอย่างจริงจัง
2. ปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชนในอนาคตนั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องความสามารถในการพึ่งตนเองของกลุ่มธุรกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งควรมีศักยภาพการพึ่งตนเองทั้งด้านทรัพยากรวัตถุ ด้านความคิด ด้านทรัพยากรบุคคล ดังนั้นควรจัดกระบวนการที่ส่งเสริมให้กลุ่มธุรกิจชุมชนเกิดการวิเคราะห์ศักยภาพการพึ่งตนเองของกลุ่ม
3. ตัวอย่างของกลุ่มธุรกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรป่าไผ่ สะท้อนถึงสภาพความเป็นจริงของกลุ่มธุรกิจชุมชนต่าง ๆ ที่ล้วนมีการใช้และการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาการดำเนินงานของกลุ่ม ซึ่งความรู้เหล่านั้นเกิดจากบทเรียนการทำงานทั้งในส่วนความสำเร็จและปัญหา อีกทั้งยังเป็นความรู้ที่ประกอบด้วยความรู้ที่มีอยู่ในบุคคลและความรู้จากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ที่มีอยู่ในบุคคลอาจสูญหายหากเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงควรรีบเร่งดำเนินการจัดการความรู้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจชุมชน
4. ระบบธุรกิจชุมชนเป็นการจัดการทรัพยากรและทุนของชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่การผลิต การตลาด การลงทุนและการจัดสวัสดิการ ซึ่งทั้งหมดต้องเกิดจากกระบวนการเรียนรู้และการจัดการที่เหมาะสม เพื่อเป็นหลักประกันให้เกิดระบบที่มั่นคงยั่งยืน ดังนั้นจึงต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่กลุ่มธุรกิจเพื่อการเพิ่มมูลค่าให้ทรัพยากร ด้วยการคิดอย่างสร้างสรรค์ และการประสานพลังกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ
ข. ข้อเสนอแนะทางวิชาการ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
ก. ประโยชน์ทางวิชาการ
1. ก่อให้เกิดความเข้าใจกระบวนการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของธุรกิจชุมชน ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ถึงศักยภาพ ความสามารถ และภูมิปัญญาของชุมชนในการจัดการธุรกิจชุมชน รวมทั้งองค์ประกอบ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ในการดำเนินธุรกิจชุมชน อันจะเป็นการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจชุมชน
2. ข้อมูลที่ได้รับจากการวิจัยนี้ สามารถใช้เป็นรากฐานการศึกษาวิจัยทางสังคมศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ ในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการทำธุรกิจชุมชน
ข. ประโยชน์ในการประยุกต์ใช้
1. ผลการวิจัยครั้งนี้ ทำให้กลุ่มธุรกิจชุมชนที่เป็นเป้าหมายในการวิจัย ได้มีโอกาสในการคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์ ถึงการดำเนินรูปแบบและบทบาททางธุรกิจของตนเอง จากการร่วมศึกษากับคณะผู้วิจัย จนก่อให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่า ความสามารถและศักยภาพในการจัดการธุรกิจชุมชน รวมทั้งองค์ประกอบ และปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจชุมชน ตลอดจนการแสวงหาการแนวทางในการสร้างสรรค์ธุรกิจชุมชนต่อไป
2. ความรู้ที่ได้รับจากการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางแผนส่งเสริมธุรกิจชุมชนให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและสถานการณ์ของสังคม โดย
ไม่มีความเห็น