ผมคิดเสมอว่า ถ้า “คนโรงพยาบาล” เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด จะสามารถทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างราบรื่น ความมีน้ำใจ ความเอื้ออาทร ซึ่งมีอยู่เต็มเปี่ยมในผู้คนที่ร่ำเรียนในสายอาชีพนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเราทำงานด้วยใจจริงๆ
และนี่เป็นอีกบทความหนึ่งของท่านผู้อำนวยการ นายแพทย์ชัชรินทร์ ปิ่นสุวรรณ ผู้อำนวยการ รพศ.เจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี ค่ะ
"หัวใจเดียวกัน สุพรรณ-สารคาม"
ทุ่งนาเมืองสุพรรณ ไม่ค่อยต่างจากทุ่งนาแถวสารคาม กาฬสินธุ์ ด้วยความเป็นลูกทุ่ง ชนบท จะผิดกันก็แต่สุพรรณห่างจากกรุงเทพ ไม่กี่กิโลเมตร แต่สารคาม กาฬสินธุ์ ห่างออกไปหลายร้อยกิโล และสุพรรณมีความชุ่มชื้นมากกว่าอีสานมาก
ผมจากอีสานมา 7 ปีเศษ ด้วยความอยากรู้ อยากมีประสบการณ์ในการเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลระดับจังหวัด จากผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรสาคร และท้ายที่สุดเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี
“อยากรู้นัก...ภาคกลางต่างจากภาคอีสานมากไหม?”
ผมโชคดีและมีโอกาสเป็นผู้บริหารของโรงพยาบาลจังหวัดตั้งแต่อายุไม่มากนัก ผมได้ประสบการณ์มากมาย วิธีคิดที่กว้างไกล
สิ่งที่คิดว่าใช่...อาจไม่ใช่ สิ่งที่คิดว่าไม่ใช่...อาจจะใช่...ดูคล้ายๆ จะเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน
การเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลจังหวัดที่เคยอยู่เป็นผู้ปฏิบัติในอีสานมานานก็คิดเสมอว่า มีประสบการณ์มาก แต่ตอนนี้มีคำตอบแล้ว...ไม่ใช่ ปัญหาใกล้กรุงเทพยิ่งซับซ้อนและยากเย็น
วัฒนธรรมองค์กร วัฒนธรรมชุมชน และความใหม่ของประสบการณ์พื้นที่ คงเป็นคำตอบให้ผมเองว่า...มันไม่ง่ายนัก ทั้งๆ ที่วิธีคิดของผมในการทำงาน เน้นการทำงานเป็นทีม เชิงแนวราบอย่างยิ่งก็ตาม
ผมคิดเสมอว่า ถ้า “คนโรงพยาบาล” เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด จะสามารถทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างราบรื่น ความมีน้ำใจ ความเอื้ออาทร ซึ่งมีอยู่เต็มเปี่ยมในผู้คนที่ร่ำเรียนในสายอาชีพนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเราทำงานด้วยใจจริงๆ
สิ่งที่ผมได้เห็น ที่ไม่แตกต่างกันเลยระหว่าง สุพรรณ กับ สารคาม ก็คือ ความรู้สึกเป็นมิตร เป็นคนซื่อๆ ของชาวบ้าน ที่หลายๆ ครั้งพวกเรา สหสาขาวิชาชีพและผู้บริหารได้มีโอกาสมาสัมผัส
บุญชู เป็นผู้หญิงวัย 50 กว่าปี เล่าให้พวกเราฟังว่า เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมข้างซ้าย ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลยมราช (เจ้าพระยายมราช) ได้รับการผ่าตัดและให้คีโมมา 4 ครั้งแล้ว หมอบอกจะต้องทำอีกหลายครั้งและอาจต้องฉายแสงเพิ่มเติม โดยจะรอดูผลการรักษาก่อน
เรานั่งคุยกันบนเก้าอี้ตรงลานหน้าบ้าน เพราะเมื่อวานนี้เพิ่งมีงานบวชลูกชายของเพื่อนบ้านไป บ้านบริเวณนั้นมีหลายหลัง ทุกหลังไม่มีรั้วบ้าน สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้
ก็มีบุปผา(ชื่อเล่นกริ่ง..เพื่อนบ้าน) นี่แหละ ที่คอยเป็นคนให้กำลังใจและบางครั้งก็ช่วยพาไปหาหมอ
เพราะสามีของบุญชู ได้ไปบวชเป็นพระ ตั้งแต่บุญชูป่วย ส่วนลูกสาวอายุ 30 ปี ก็ได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว และ พากันไปทำงานที่กรุงเทพ นานๆ ครั้งลูกจึงจะมาเยี่ยมแม่หรือมาพาแม่ไปหาหมอ
ทุกวันนี้บุญชูอาศัยอยู่กับแม่ของเธอซึ่งอายุมากแล้ว มีพี่สาวและน้องสาวคอยช่วยเหลือดูแลทำงานบ้านให้ในช่วงนี้
สังเกตดูแววตาของบุญชูมีความวิตกกังวลมากที่เดียว บุญชูยกมือทั้ง 2 ข้างตีเบาๆ เป็นจังหวะที่ขาของเธออยู่ตลอดเวลาที่เราคุยกัน
“จะไปโรงพยาบาลที่ไร ตัวเย็นทุกที” บุญชูพูดออกมาหลายครั้ง เธอคงประหม่า กลัวหรือ กังวลอะไรอยู่ในใจ
เราพยายามชวนคุยในเรื่องต่างๆ นาๆ ความเจ็บป่วยคงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คือ กำลังใจ ที่จะทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้
การมาเยี่ยมบ้านในครั้งนี้ พวกเราชาวสหสาขาวิชาชีพ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช คงได้สร้างความมั่นใจ ความอบอุ่นใจแก่บุญชูได้มากพอสมควร อาจทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น สังเกตได้จากหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นหลังการเยี่ยมเยือน
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดและคณะมาให้กำลังใจ มาในฐานะที่เคยเป็นญาติผู้ป่วยมะเร็งเต้านม มาในฐานะทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลผู้ให้การรักษา มาในฐานะเพื่อนบ้านชุมชนเดียวกัน
การที่ได้ออกมาเยี่ยมพูดคุยกับผู้ป่วยที่บ้าน พร้อมกับเจ้าหน้าที่สหสาขาวิชาชีพอื่นๆ ทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงเมื่อตอนจบแพทย์ใหม่ๆ ทำงานในโรงพยาบาลชุมชนในภาคอีสาน ดูไม่แตกต่างจากวันนี้เลย ...ผมจึงได้พบกับคำที่ว่า... “หัวใจเดียวกัน สุพรรณ-สารคาม”