อย่าปล่อยรักนี้ให้ผ่านไป


“เดินผ่านหรือผ่านมา ต้องอย่าพลาดโอกาส......”

 

       ผมรู้จักเสี่ยวเชียนเมื่อตอนที่เธอเดินเข้ามาซื้อเสื้อผ้าในร้านผม    ที่หลังของเสี่ยวเชียนสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็ก   เธอเดินดูเสื้อผ้าอย่างสบายอกสบายใจ    เสื้อยีนส์รัดรูปที่วาดโค้งไปตามสัดส่วนช่างพอเหมาะพอดีรับกับรูปร่างสูงชะลูดของเธอ     เป็นความเคยชินในอาชีพที่เพียงแค่มองผมก็รู้ว่าเธอจะมีบุคลิกภาพอย่างไร    หลิวหมิงซึ่งเป็นช่างภาพก็มองดูเสี่ยวเชียนอยู่เช่นกัน    หลิวหมิงหันมาใช้สายตาถามผม     ผมพยักหน้ารับ

     หลิวหมิงหยิบชุดที่ผมเพิ่งออกแบบเสร็จเดินลงจากห้องทำงานชั้นบน    มาพูดกับเสี่ยวเชียนว่า " คุณครับ   ชุดนี้เป็นยังไงบ้างครับ  "

     เสี่ยวเชียนหยิบชุดกางออก  มองดู   แล้วเดินเข้าไปในห้องลองชุดโดยไม่พูดอะไรเลย   และทันทีที่เธอเปิดประตูออกมาผมถึงกับจ้องเธอด้วยความตกตะลึง

     เสี่ยวเชียนส่องดูกระจก   เธอท้าวเอวมองดูตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ   แล้วก็หันมาถามหลิวหมิง " ปกติพวกคุณเอาเสื้อผ้าวางไว้ในตู้แสดงสินค้ามั๊ยคะ  "

หลิวหมิงหัวเราะ " เสื้อผ้าชุดนี้ไม่ใช่สินค้าที่ทางเราทำออกจำหน่ายหรอกครับ "

" แล้วทำไมยังให้ฉันลองใส่  " เสี่ยวเชียนถามอย่างไม่ปิดบังความโกรธของตัวเองสักนิดเดียว

" คืออย่างนี้ครับ   ชุดนี้ทางร้านเพิ่งจะออกแบบเสร็จน่ะครับ  ตอนนี้ทางเรากำลังต้องการนางแบบสักคนมาโปรโมทเสื้อผ้าของเราอยู่   ไม่ทราบว่าคุณสนใจหรือเปล่าครับ  " หลิวหมิงอธิบาย

        " นางแบบ!  ฉัน!  " แล้วเสี่ยวเชียนก็หัวเราะ  เธอเข้าไปในห้องลองชุดอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า   แล้วก็ออกมาบอกหลิวหมิงว่า " คุณไปหาคนอื่นเถอะค่ะ  ฉันยังเรียนหนังสืออยู่ "

        " ไม่เป็นไรครับ   คุณใช้เวลาว่างทำก็ได้ " ผมรีบพูดขึ้นมา

        หลังจากที่ผมกับหลิวหมิงช่วยกันพูดโน้มน้าวใจเสี่ยวเชียนอยู่สักพัก   ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง

        เสี่ยวเชียนดูสวยงามมากหลังจากที่แต่งตัวเสร็จแล้ว    ช่างแต่งหน้าถึงกับออกปากชมว่า   เธอสวยงามราวกับดารา  รูปร่างก็ดี    ถ้าหากเธอเดินเข้าสู่เส้นทางของนางแบบเธอจะต้องประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว    แต่ทว่าเสี่ยวเชียนกลับไม่คิดเช่นนั้น    เธอยังคงยืนกรานคำตอบเดิมว่า    ที่เธอยอมเป็นนางแบบให้กับผมและหลิวหมิงเพียงเพื่อความสนุกเท่านั้น

        ปีที่เสี่ยวเชียนเรียนจบก็นับเป็นเวลา 3 ปีที่ผมรู้จักเธอ    ช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา   เสี่ยวเชียนเป็นนางแบบเพียงคนเดียวของผม   ความชื่นชอบที่ผมมีต่อเธอทำให้ผมมีพลังในการทำงานอย่างมากมาย    ผมทุ่มเทชีวิตให้กับการออกแบบเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบชุดแล้วชุดเล่าอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย    เพียงเพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสอยู่กับเธอมากขึ้น

        ผมชินกับการได้มองดูเธออยู่อย่างเงียบๆ แบบนี้   ความรู้สึกนี้นับวันก็ยิ่งมากขึ้น    นานวันเข้าก็พอกพูนกลายเป็นความหวาดกลัว    ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่า    ถ้าวันใดไม่มี เสี่ยวเชียนเป็นนางแบบแล้ว   ผมยังจะสามารถออกแบบเสื้อผ้าต่อไปได้อีกหรือไม่   ความรู้สึกหวาดกลัวนี้นับวันก็ยิ่งทวีความรุนแรง  วันหนึ่งเสี่ยวเชียนวิ่งมาหาผมแล้วบอกว่า  เธอยังไม่อยากจะหางานทำตอนนี้   เธอยังอยากที่จะเป็นนางแบบต่อไป    

        ณ เวลานั้นเป็นช่วงที่ร้านเสื้อของผมกำลังขยายกิจการพอดี  งานค่อนข้างยุ่ง   ผมจึงไม่มีเวลาดูแลเสี่ยวเชียนมากนัก   แต่ท้ายที่สุดผมก็พาเสี่ยวเชียนไปฝากฝังกับบริษัทจัดหานางแบบชื่อดังของเมืองนี้   สถานที่ที่จะทำให้ความต้องการของเสี่ยวเชียนเป็นจริงขึ้นมาได้

        เสี่ยวเชียนมีความสุขมากที่ผมพาเธอไปแนะนำกับบริษัทดังกล่าว    แต่เธอกลับไม่เคยรู้เลยว่าผมต้องทุกข์ทรมานเพียงใดที่เห็นภาพความดีใจของเธอ  แน่นอน ! เสี่ยวเชียนไม่เคยสังเกตเห็นแววตาที่ทุกข์ระทมของผมแม้เพียงสักนิดเดียว

        เสี่ยวเชียนเริ่มเข้าประกวดตามเวทีประกวดและการแสดงต่างๆ บางครั้งที่เสี่ยวเชียนแวะมาที่ร้าน  เธอเลือกที่จะนั่งเงียบๆไม่พูดคุยมากเหมือนดังเช่นแต่ก่อน    ในขณะที่เธอยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นทุกวัน   เธอกลับยิ่งเงียบขรึมมากขึ้นด้วยเช่นกัน   ผมรู้สึกได้ถึงความสับสน  ความเดียวดาย  ที่เกาะอยู่ในใจของเธอ   แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะช่วยเธอเลย  เธอไม่ใช่เด็กสาวเหมือนเมื่อสามปีก่อนที่ไม่เข้าใจอะไรมากนัก   ทุกวันนี้ " เธอ " ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลากหลายรูปแบบ  ผมทำได้แค่เพียงมองดูความเงียบของเธออยู่ห่างๆ ผมรู้ว่า ความเงียบที่เธอเป็นอยู่นั้นคือ เกราะกำบังที่เธอสร้างไว้ปกป้องตัวเอง

        จากที่เคยแวะมาบางครั้งบางคราว เดี๋ยวนี้เสี่ยวเชียนไม่ได้แวะมาที่ร้านนานแล้วหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเธอคบหาอยู่กับลูกชายของเศรษฐีชาวฮ่องกง  มีภาพทั้งคู่ไปงานเปิดตัวบริษัทแห่งหนึ่งด้วยกัน  และอีกหลายครั้งที่มีภาพทั้งคู่จูงมือไปร่วมงานการกุศล  เท่านั้นยังไม่พอ  หนังสือพิมพ์ยังตีภาพที่แสดงถึงความสนิทสนมของคนทั้งคู่  ภาพที่เสี่ยวเชียนหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

       ตอนที่หลิวหมิงเอาหนังสือมาให้ผมดู  ผมรู้สึกราวกับหัวใจถูกกระชากออกไปจากร่าง ทั่วทั้งตัวเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิต   ผมแสร้งทำเป็นเดินไปรินชาขณะที่หลิวหมิงพูดอยู่ด้านหลังว่า " นายเห็นหรือเปล่า  ทุกครั้งที่เสี่ยวเชียนออกงานต่อหน้าสาธารณะชน  เธอใส่แต่เสื้อผ้าของร้านเรา ว่ามั๊ย  "

        หลิวหมิงยืนอยู่หลังผมโดยไม่พูดอะไรอีกเลย   พอผมหันกลับมาหลิวหมิงก็ไม่อยู่แล้วและผมก็ไม่รู้ว่า   หลิวหมิงไปไหน แล้วเพียงชั่วพริบตา  ผมก็ปล่อยใจให้หยดน้ำตาไหลรินออกมา  ตอนที่ผมรู้จักกับเสี่ยวเชียนครั้งแรก  เธอยังเยาว์วัยนัก เป็นเด็กสาวที่ร่าเริง สดใส นอกจากความสนุกแล้วเธอไม่เคยรับรู้เรื่องราวใดๆ  ความสวยงาม ร่าเริง สดใส ของเธอทำให้ผมอดใจไว้ไม่ได้ที่จะไม่หลงรัก   หากก็ทำได้เพียงรักเธออยู่เงียบๆเสมอมา   ผมไม่ต้องการรุกล้ำเข้าไปในโลกส่วนตัวที่แสนบริสุทธิ์ของเธอ  ไม่ต้องการฉวยโอกาสจากความไว้ใจของเธอทำให้เธอตกเป็นของผม  แม้ว่า ในส่วนลึกแล้ว หัวใจจะเรียกร้องสักเพียงใดก็ตาม   เสี่ยวเชียนเป็นเสมือนนกน้อยสีสวยที่ปรารถนาจะโผบินอย่างอิสระภายใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่  แต่แผ่นฟ้าของผมไม่กว้างใหญ่พอที่จะให้เธอโบยบินได้อย่างเสรี  สุดท้ายสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำให้เธอได้  นั่นคือ ปล่อยเธอให้บินไป

       วันนี้เสี่ยวเชียนแวะมาที่ร้านสองครั้ง ผมเอาแต่หลบอยู่ที่ห้องล้างรูปของหลิวหมิง ไม่กล้าออกไปพบเธอ ผมกลัวว่าเมื่อสบตากับเสี่ยวเชียนแล้ว ผมอาจไม่สามารถดำรงสติไว้ได้ กลัวว่าคำพูดของผมจะทำให้เสี่ยวเชียนเกิดความรู้สึกผิดในใจ ผู้ชายคนหนึ่งหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว จุดประสงค์สุดท้ายก็เพียงเพื่อให้ได้หญิงอันเป็นที่รักมาครอบครอง ในความคิดของผู้ชายนั้นก็ปรารถนาเพียง ‘รักที่แท้จริง’ ทว่าความเจ็บปวดจากการรักข้างเดียวจะกลายเป็นสิ่งที่หล่อหลอมรักครั้งนี้ แต่ความเจ็บปวดนี้ก็จะได้รับการเยียวยาเพียงแค่ได้เห็นใบหน้าที่มีความสุขของเธอ

ผมได้ยินหลิวหมิงถามเสี่ยวเชียนว่า “คิดจะแต่งงานหรือ ”

“ในหนังสือพิมพ์ไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นหรอกหรือ ” เสี่ยวเชียนตอบ

       การที่นั่งอยู่หน้าประตูห้องล้างรูป ทำให้ผมได้ยินเสียงเบาๆ ของเธอ ราวกับสายลมแผ่วที่พัดผ่านไปอย่างช้าๆ แต่กลับบาดลึกลงในหัวใจได้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวที่สุด

ผมยังมีกำลังพอที่จะช่วยอะไรเสี่ยวเชียนได้อีกล่ะ ! ผมยังจะทำอะไรเพื่อเสียวเชียนอันเป็นที่รักของผมได้อีก นอกจากทำชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์เพื่อเธอแล้วผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก เมื่อดูจากวัสดุและข้อมูลต่างๆ ที่ทางร้านมีก็ทำให้ผมคิดแบบชุดขึ้นมาได้

หลิวหมิงถามผม “นายคิดจะทำอะไรอีกล่ะ?”

“ออกแบบชุดเจ้าสาวให้เสี่ยวเชียนไง” ผมแสร้งตอบด้วยท่าทีที่เบิกบาน

เกิดความเงียบขึ้นสักพัก แล้วจู่ๆหลิวหมิงก็พูดทำลายความเงียบขึ้นว่า “นายสามารถทำใจเย็นที่จะตัดชุดแต่งงานให้กับคนที่นายรักได้จริงๆ น่ะหรือ  ทั้งๆ ที่เจ้าบ่าวไม่ใช่นาย !”

      ผมโยนปากกาในมือทิ้งอย่างผิดหวังกับการเสแสร้งที่ไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะทำอะไรหลิวหมิงก็เหมือนจะรู้ทันผมเสมอ“ในเมื่อรู้แล้วทำไมต้องมาพูดตอกย้ำกันด้วยนะ” ผมได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง มันช่างว่างเปล่าและไร้ความรู้สึก

“หลายปีแล้ว ที่ฉันได้แต่คิดว่าการที่นายไม่พูด เพราะต้องการรอให้เสี่ยวเชียนเป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า นายมันก็แค่ไอ้ผู้ชายขี้ขลาดคนหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่า ‘รัก’ กับผู้หญิงที่นายรัก”

“นายไม่เข้าใจหรอก เสี่ยวเชียนก็เหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่รักอิสระ รักที่จะโผบินไปอย่างเสรี ฉันไม่อาจเป็นแผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่พอสำหรับเธอได้ ฉันไม่มีเหตุผลที่จะบังคับให้เธอหยุดนิ่ง กักขังเธอไว้ด้วยความรักของฉัน สิ่งเดียวที่ฉันให้เธอได้ คือ ปล่อยให้เธอโบยบินไปสู่ท้องฟ้ากว้างที่เธอปรารถนา”

“แต่นกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า ก็ต้องการรังที่จะซุกกายลงพัก ถ้านายรักเธอ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้ท้องฟ้าแก่เธอ แต่ควรจะให้รังที่อบอุ่นแก่เธอต่างหาก”

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อเธอก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว และคนที่เธอจะแต่งงานด้วยก็เป็นคนที่ดีพร้อม” หลิวหมิงหัวเราะแล้วพูดว่า “นายน่ะ เป็นกังวลกับความรู้สึกของคนคนเดียวมากไปหรือเปล่า  แถมยังเชื่อข่าวในหนังสือพิมพ์มากเกินไปด้วย รู้ตัวบ้างมั๊ย ”

       ได้ฟังดังนั้นผมก็ลุกขึ้นยืน หลิวหมิงมองผมแล้วพูดว่า “เสี่ยวเชียนน่ะยังไม่มีใครหรอกนะ นายมีโอกาสมาตลอด เพียงแต่นายให้ความสำคัญกับเสี่ยวเชียนมากเกินไป จึงทำให้นายเกิดความกลัวขึ้นมา ช่วงนี้เสี่ยวเชียนมักจะไปนั่งกินน้ำแข็งใสที่ตลาดโต้รุ่งอยู่บ่อยๆ นายลองไปหาเธอดูสิ”ได้ยินดังนั้นผมจึงตบไหล่หลิวหมิงเป็นการขอบคุณ แล้วรีบเดินตรงไปยังตลาดโต้รุ่ง ความกลัวใดๆ ก็ไม่สามารถจะขัดขวางผมได้อีก แม้เมื่อเจอเธอแล้ว ผมอาจจะไม่ได้บอกความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอออกไป แต่แค่ได้ดื่มเหล้ากับเธอสักแก้วก็ยังดี

      เสี่ยวเชียนอยู่ที่นั่นจริงๆ เธอนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้ม น้ำแข็งใสที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นเพียงของตกแต่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น

เมื่อได้เห็นผม เธอมีท่าทีตกใจอยู่บ้าง ส่วนผมพอเห็นหน้าเธอเท่านั้น น้ำตาอุ่นๆก็ไหลรินลงมาโดยไม่รู้สาเหตุ ผมจับมือเธอไว้ไม่สนใจแล้วว่าน้ำตาไหลมาเพื่ออะไร

      เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง เสี่ยวเชียนก็ได้พูดขึ้นว่า “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งสิ้น เว้นแต่เพียงเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง....คนนั้นไงล่ะ”

     เมื่อหันไปตามมือของเสี่ยวเชียนที่ชี้ออกไป ผมจึงได้เห็นพ่อค้าขายเครื่องใช้พลาสติกคนหนึ่งที่อยู่ด้านตรงข้ามกำลังร้องตะโกนเรียกลูกค้าด้วยเสียงที่ดังว่า “ราคาถูกสุดๆ เร่เข้ามา เร่เข้ามา เดินผ่านหรือผ่านมา ต้องอย่าพลาดโอกาส......”

ได้ยินดังนั้นผมก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ผมรู้สึกได้ถึงกระแสเลือดที่ฉีดไปทั่วร่าง และจังหวะเสียงเต้นของหัวใจที่รัวเร็วประดุจเสียงกลองที่กำลังออกรบ

ที่แท้การที่เสี่ยวเชียนมาที่นี่ทุกๆ วันก็เพียงเพื่อจะฟังเสียงตะโกนของชายผู้นั้นที่ว่า “เดินผ่านหรือผ่านมา ต้องอย่าพลาดโอกาส......”

ที่แท้เสี่ยวเชียนก็มีความรู้สึกเดียวกันกับผม

ผมกอดเธอจนแน่น กอดความสุขที่เกือบจะสูญเสียไป ผู้ชายอายุ 30 ก็ได้ร้องไห้อยู่ ณ ถนนแห่งนั้น

       ในวันแต่งงานของผมกับเสี่ยวเชียน เราทั้งคู่ได้แต่งผนังห้องนอนด้วยกะละมังพลาสติกใบน้อยที่ซื้อมาจากตลาดโต้รุ่งแห่งนั้น “กะละมังพลาสติกใบน้อยนี้จะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่า เราจะมีกันและกันตลอดไป” เสียงกระซิบแผ่วๆ ของเสี่ยวเชียนดังขึ้นขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของผม......และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป.......

 

หมายเลขบันทึก: 338720เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2010 01:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 13:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอชม นักเขียน กระจุ๋มกระจิ๋ม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท