สตีฟกับแอนกำเนิดบุตรคนที่สองระหว่างไปเที่ยวอินโดนีเชีย..พ่อแม่ตั้งชื่อว่า ซู
แอนเป็นศิลปิน แต่ไม่ได้จับพู่กันเลยสักครั้งเดียวตั้งแต่ ซูเกิด
"ไม่ใช่เพราะเธอไม่รักโทนี่(ลูกคนแรก)หรอก เธอรักมากเสียด้วย เพียงแต่ตอนนี้เธอมีชีวิตอยุ่เพื่อ ซูเท่านั้น และผมเชื่อว่าอีกสักปี เธอก็จะจับพู่กันอีก และจะให้ความสนใจต่อซูและโทนี เท่าๆกัน " สตีฟพูด
สตีฟ แทบนอนไม่เต็มตา เพราะแอนก็เหนื่อยมาก และให้สตีฟดูว่า หนูน้อยซูยังหายใจอยู่ไหม สตีฟเพลียมากจนพูดไปว่า
"ชั่วโมงที่แล้วยังหายใจอยู่เลย ตอนนี้ก็ต้องหายใจอยู่แหล่ะ"
หลวงพ่อถามว่า"ชีวิตครอบครัวและชีวิตโสด อันไหนจะมีความสุขกว่ากัน"สตีฟไม่ตอบตรงๆ แต่โคลงศรีษะไปมาบ่นอะไรพึมพำ...
แต่หลวงพ่อเข้าใจดี
สตีฟเล่าว่า เขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
"แต่ก่อนผมแบ่งเวลาออกเป็นหลายช่วง ส่วนหนึ่งสำหรับโทนี่ เช่นช่วยทำการบ้าน อ่านหนังสือนิทานให้ฟัง อาบน้ำให้ อีกส่วนหนึ่งแบ่งๆไว้ให้แอนช่วยดูแลซู ไปจ่ายกับข้าวให้ เอาเสื้อผ้าไปร้าซักรีด เป็นเพื่อนคุยตอนซู หลับ และแอนเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน เพราะลมหายใจของซูก็คือลมหายใจของแอน ถ้าคนใดคนหนึ่งหยุดหายใจ อีกคนหนึ่งคงหยุดด้วย และเวลาที่เหลือเป็นของผม....ผมอ่านหนังสือ..เขียนหนังสือ..งานวิจัย...ออกเดินเล่น ส่วนที่สำนักงานเป็นเวลาทำงานไป"
"แต่เดี่ยวนี้ผมพยายามไม่แบ่งเวลาเป็นส่วนๆ เวลาที่ผมให้โทนี่และแอนนั้น ผมถือเป้นเวลาของผมด้วย เวลาโทนี่ทำการบ้าน ผมพยายามไม่ไปคิดว่า "นี่เป็นเวลาที่เผื่อไว้ให้โทนี่เดี๋ยวเสร็จแล้ว ฉันจะมีเวลาเป็นของตัวเอง"
ผมพยายามหาทางมองให้เห็นว่าเวลาที่ผมให้กับโทนี่ก็เป็นเวลาของผมด้วย ผมให้ความสนใจต่อสิ่งที่เราทำร่วมกัน มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันกาลร่วมกัน วิธีนี้ทำให้เวลาของโทนี่เป็นเวลาของผมด้วย และผมก็ใช้วิธีนี้กับเวลาที่ให้กับแอนด้วย....
และสิ่งที่น่าทึ่งก็คือเดี่ยวนี้ ผมมีเวลาสำหรับตัวเองอย่างไม่มีขีดจำกัดเลย"
The Miracle of Being Awake...ติท นัท ฮันห์