รู้จักการสาธารณสุขมูลฐานและความเป็นมาก่อนนำมาสู่ อสม
เมื่อปี ๒๕๒๑ (คศ. ๑๙๗๘) ประเทศไทยและกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกทั่วโลก ได้ร่วมกันตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างบูรณาการให้มุ่งไปสู่ความมีสุขภาพดีถ้วนหน้าโดยร่วมประกาศเป็นเจตนารมย์ร่วมกันที่เมืองอัลมาอตา(Alma Ata) คาซัคสถาน สหภาพโซเวียต และจากนั้นก็แปรไปสู่การดำเนินการภาคปฏิบัติโดยเน้นยุทธศาสตร์การพัฒนาด้วยกลวิธีการสาธารณสุขมูลฐาน ถึงปี ๒๕๕๓ นี้ก็นับเป็นระยะเวลา ๓๒ ปีและย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ ๔ แล้ว
ประเทศไทยในเวลานั้นอยู่ในภาวะการพัฒนาประเทศในทุกด้านเพื่อมุ่งกระจายโอกาสการพัฒนาไปสู่ชนบทและคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งอยู่ในชนบทมากกว่าร้อยละ ๗๐ ดังนั้น จึงสอดคล้องกับปรัชญาและกลวิธีของการสาธาณสุขมูลฐาน ซึ่งมุ่งสนองตอบต่อความจำเป็นของคนส่วนใหญ่ อีกทั้งจัดว่าเป็นพื้นฐานของการดำเนินงานสุขภาพในทุกมิติ ทั้งการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Care) การป้องกันโรค ควบคุมโรค (Preventive Health) การส่งเสริมทางสุขภาพ (Health Promotion) และการบำบัดฟื้นฟู ( Health Rehabilitation) จากความบาดเจ็บ อุบัติเหตุ และความพิการ ทั้งร่างกายและจิตใจ
เพื่อบรรลุความจำเป็นหลายด้านไปพร้อมกัน เมื่อดำเนินการขึ้นในประเทศไทยจึงมีการพัฒนารูปแบบผสมผสานให้การสาธารณสุขมูลฐานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นกลวิธีหลักที่นำการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมในทางอ้อมให้เกิดความร่วมมือกันเพื่อการพัฒนากับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน เกิดการระดมความร่วมมือกันอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน โดยมีคณะกรรมการระดับชาติเป็นกลไกประสานงานและระดมความร่วมมือ คือ คณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐานแห่งชาติ มีหน่วยงานและผู้แทนขององค์กรที่มีบทบาทต่อการสร้างความเคลื่อนไหวของภาคสาธารณะหลายฝ่ายเข้ามาเป็นกรรมการและคณะทำงาน ทั้งกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการพัฒนาประเทศ สำนักคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมวิเทศสหการ กรมประชาสัมพันธ์ ทบวงมหาวิทยาลัย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรรมแห่งชาตินี้โดยตำแหน่ง
กลวิธีสำคัญที่ทำให้การสาธารณสุขมูลฐานเป็นสุขภาพของคนส่วนใหญ่ เพื่อคนส่วนใหญ่ และโดยคนส่วนใหญ่
การออกแบบการจัดการทางสังคมดังกล่าว สะท้อนหลักการสำคัญในกลวิธีการสาธารณสุขมูลฐานที่มีนัยะต่อการทำให้คนส่วนใหญ่เพิ่มพูนความสามารถพึ่งตนเองและนำไปสู่การพัฒนาในมิติต่างๆที่มั่นคงยั่งยืนมากยิ่งขึ้น คือ :
๑. รูปแบบนวัตกรรมองค์กร :
ดำเนินการโดยเครือข่ายความร่วมมือแบบผสมผสานหลายภาคส่วน
(Multi-Sectorals Collaboration) ข้ามกรอบการแยกส่วนที่มีกระทรวง
ทบวงกรม และภาคส่วนทางสังคมเป็นตัวตั้ง
เน้นการเอาชุมชนและพื้นที่เป็นตัวตั้งและเปลี่ยนโครงสร้างเชิงอำนาจการนำการพัฒนาจากแนวดิ่งสู่ประชาชน
หรือจากเบื้องบนสู่ล่าง (Vertical
and Top-down
Development) เป็นจากฐานรากของสังคมและชุมชนระดับต่างๆสะท้อนขึ้นสู่ภาคสาธารณะของประเทศ
หรือจากฐานรากสะท้อนสู่เบื้องบน (Community-Based
and Buttom-up Development Approach)
ทำให้ภาครัฐลดบทบาทการคิดและทำแทนประชาชน ลดการแยกส่วน
มุ่งบรรลุเป้าหมายของส่วนรวมไปพร้อมกันได้มากขึ้น
โดยเฉพาะทางด้านสุขภาพ การศึกษา
เศรษฐกิจและการผลิตของคนส่วนใหญ่ในภาคเกษตรกรรม การเมืองการปกครอง
การสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
สิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน
๒.
ทรัพยากรและปัจจัยดำเนินการ :
เน้นการระดมทรัพยากร คน และสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน
(Local community resourses Mobilization)
มาเป็นปัจจัยการพัฒนาที่เพียงพอและสนองตอบต่อความจำเป็นของชุมชนมากขึ้น
สามารถแก้ข้อจำกัดของภาครัฐในการขาดแคลนทั้งกำลังคน งบประมาณ
และทรัพยากร ทำให้เกิดผลดีสองด้าน คือ
สังคมมีพลังในการริเริ่มการพัฒนาด้วยการพึ่งตนเองได้มากขึ้น
และทรัพยากรภาครัฐที่มีขีดจำกัดอยู่ในตนเอง
ก็ระดมไปสร้างความเป็นส่วนรวมให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
๓.
เทคนิควิชาการ : มุ่งเน้นวิทยาการ ภูมิปัญญา
เทคโนโลยีที่เหมาะสมและเทคโนโลยีจากท้องถิ่น
ให้เป็นปัจจัยการพัฒนาที่ยั่งยืน (Local wisdom and appropriate
technology utilization) ชาวบ้านสามารถพึ่งตนเองในการพัฒนา
ทำให้สุขภาพเชิงรุก งานป้องกัน การดูแลตนเอง การคัดกรอง
ในระบบสุขภาพมีความเข้มแข็ง เชื่อมโยงสุขภาพในขอบเขตที่กว้าง
การรักษาและเทคโนโลยีที่จำเป็นนำไปใช้เพื่อกรณีที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๔.
การบริหารจัดการ :
เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาของประชาชนและชุมชน
(Community participation) ทำให้สนองตอบต่อความต้องการพื้นฐาน
และเกิดกระบวนการเรียนรู้จากการแก้ปัญหา
ทำให้สังคมเดินแสวงหาความร่วมกันได้มากขึ้น และทำให้มีพื้นฐาน
ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาต่างๆในลำดับต่อมาอีกมากมาย
กระทั่งปัจจุบัน
การสาธารณสุขมูลฐานกับสังคมไทย
การดำเนินงานพัฒนาอย่างผสมผสานโดยกลวิธีการสาธารณสุขมูลฐานในประเทศไทยนี้ มีกระทรวงสาธารณสุขกับมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นภาคีสนับสนุนทางวิชาการ โดยกระทรวงสาธารณสุขดูแลหน่วยปฏิบัติการและสนับสนุนทางวิชาการระดับภาค ๔ แห่ง ที่นครศรีธรรมราช ชลบุรี นครสวรรค์ และขอนแก่น ต่อมาได้ขยายเป็น ๕ แห่งที่ภาคใต้ตอนล่างที่จังหวัดยะลา ชื่อ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานระดับภาค มีการทำงานเชื่อมโยงเครือข่ายลงไปถึงชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ ส่วนมหาวิทยาลัยมหิดลนั้นดูแลเครือข่ายระดับภูมิภาคในประเทศเชื่อมโยงออกไปยังเครือข่ายนานาชาติ โดยเน้นกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน แหลมทอง และอินโดจีน ชื่อ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน
ต่อมาเครือข่ายหน่วยงานดังกล่าวที่ดูแลโดยกระทรงสาธารณสุขนั้น ก็ได้พัฒนาเป็นศูนย์สนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน หรือ สช ส่วนศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานอาเซียน ในความดูแลของมหาวิทยาลัยมหิดลที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ก็ได้พัฒนาเป็น สถาบันพัฒนาสาธารณสุขอาเซียน และต่อมาเป็น สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน : AIHD : ASEAN Institute for Health Development ดังปัจจุบัน
ปัจจัยความสำเร็จของการสาธารณสุขมูลฐาน คือ อสม และพลังคุณธรรมต่อส่วนรวม
เครือข่ายหน่วยงานดังกล่าวนี้ ประสานความร่วมมือทางวิชาการ ระดมทรัพยากร ตลอดจนสร้างยุทธศาสตร์การร่วมกันพัฒนาเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในระบบสุขภาพ การพัฒนาท้องถิ่น และการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนระดับต่างๆเป็นอย่างมาก เป็นความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับของนานาประเทศ ซึ่งต่อมา องค์การอนามัยโลกก็จัดว่าบทเรียนการดำเนินงานพัฒนาประเทศโดยกลวิธีการสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทยนั้น เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของโลกประเทศหนึ่ง และหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งองค์การอนามัยโลกเอง ก็ร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์ดังกล่าวของประเทศไทยนี้ให้กับอีกหลายแห่งของโลก
ภายใต้ความสำเร็จดังกล่าวนั้น รูปแบบการทำงานอย่างได้ผล ครอบคลุมไปถึงคนส่วนใหญ่ในชุมชนต่างๆของประเทศก็คือ การระดมพลังจิตอาสาของชาวบ้านให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโดยใช้ชื่อว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อสม ซึ่งทุก ๑๕ ครัวเรือนในทุกหมู่บ้านจะมี อสม ๑ คน จังหวัดหนึ่งจึงจะมี อสม นับแต่ ๒-๓ หมื่นคน ไปจนถึง ๘ หมื่น - แสนคน ทั่วประเทศในปัจจุบันนี้จึงมี อสม อยู่กว่า ๑.๑ ล้านคน นับว่าเป็นศักยภาพและทุนทางสังคมที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาประเทศมาก อีกทั้งกล่าวได้ว่า ในรอบ กว่า ๓๐ ปีที่ผ่านมานี้ ความเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาสุขภาพที่สำคัญที่สุดของประเทศนั้น เกิดจากบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยพลังจิตอาสาของ อสม นี่เอง
สู่ทศวรรษที่ ๔ และความจำเป็นต่อการค้นหาอนาคตการพัฒนา
การดำเนินงานดังกล่าวได้ผ่านไปกว่า ๓๐ ปีและเริ่มย่างเข้าสู่ทศวรรษที่ ๔ ซึ่งการพัฒนาสุขภาพก็ได้ดำเนินการไปในแนวทางที่หลากหลาย ยืดหยุ่น และสนองตอบต่อความจำเป็นของการพํมนาในเงื่อนไขแวดล้อมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ใช้รูปแบบ การพัฒนาเมืองน่าอยู่ซึ่งเป็นการนำเอาปัจจัยทางสังคม สิ่งแวดล้อมเมืองและการพัฒนาเมือง การเมือง ศิลปวัฒนธรรม มาบูรณาการกับการพัฒนาสุขภาพ (Socio-economic and Cultural Determinants in Health), การสร้างเสริมสุขภาพซึ่งเป็นการปรับกระบวนทรรศน์สุขภาพจากที่เน้นการตั้งรับและรักษาทางการแพทย์ให้หายจากความเจ็บป่วย (Illness Health) ไปสู่การเน้นสุขภาพเชิงรุกเพื่อป้องกันและส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีซึ่งเรียกว่า Proactive Health, การสร้างสุขภาวะชุมชนซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทรรศน์จากเรื่องสุขภาพของปัจเจกบุคคลเป็นภาวะสุขภาพของชุมชนและความเป็นส่วนรวมมากขึ้น เหล่านี้เป็นต้น
ขณะเดียวกัน กลวิธีการสาธารณสุขมูลฐานก็ได้ลดบทบาทไปหลายด้าน คณะกรรมการสาธารณสุขมูลฐานแห่งชาติซึ่งบ่งบอกความสำคัญว่าเป็นองค์กรอิสระและเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติก็ยุบ และงานสาธารณสุขมูลฐานก็เป็นหน่วยงานย่อยระดับกองในกรมสนับสนุนบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข และ อสม ก็ไม่มีสถานะและบทบาทอันแน่ชัดว่าจะสลายไป หรือว่าจะพัฒนาตนเองไปในแนวทางใด ชุมชนและสังคมมีความคาดหวังอย่างไร รัฐบาลและสังคมควรจะมีแนวนโยบายสำหรับการพัฒนาไปสู่อนาคต อย่างไร
การพัฒนานโยบายเพื่อการสนับสนุนศักยภาพ อสม สู่การบริการระบบสุขภาพชุมชน
ปัจจุบัน การดำเนินงานพัฒนาระบบสุขภาพที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ริเริ่มและดำเนินการขึ้นในประเทศก็คือระบบการบริการสุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดกับผลของการพัฒนาต่างๆที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการพัฒนาในหลายมิติ ทั้งการพัฒนารูปแบบอันหลากหลายและยืดหยุ่นต่อบริบทของชุมชนต่างๆทั่วประเทศ ใกล้บ้าน ใกล้ใจ และต้องอาศัยปัจจัยการดำเนินการที่สำคัญหลายด้าน ส่วนหนึ่งนั้นก็คือพลังการมีส่วนร่วมและระบบดำเนินการที่ภาคประชาชนจะสามารถดำเนินการอย่างพึ่งตนเองได้ องค์ประกอบดังกล่าวนี้ อสม ถือว่าเป็นทุนทางสังคม (Social Capitals) ที่สำคัญ จึงมีความจำเป็นและเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำการวิจัยและพัฒนาแนวนโยบาย ตลอดจนมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพ อสม ให้มีบทบาทเชื่อมโยงสู่การพัฒนาระบบการบริการสุขภาพชุมชน
ข่ายวิจัยนโยบายการเสริมศักยภาพ อสม สู่การพัฒนาในอนาคต
ด้วยความสำคัญและความเป็นมาที่กล่าวมาดังข้างต้น สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส) กับ กองสนับสนุนการพัฒนาสุขภาพภาคประชาชน (สช) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จึงร่วมกันพัฒนาโครงการขึ้นเพื่อดำเนินการวิจัยและพัฒนานโยบายสำหรับส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพ อสม ให้เชื่อมโยงเข้าสู่การบริการระบบสุขภาพชุมชน โดยได้รับความร่วมมือเป็นผู้ดำเนินการจาก คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
โครงการวิจัยดังกล่าว ดำเนินการในรูปแบบข่ายการวิจัยและประเมินอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Rapid Appraisal : PRA) รองศาสตราจารย์ ดร.ลือชัย ศรีเงินยวง สาขาวิชาสังคมศาสตร์การแพทย์ และศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุข เป็นหัวหน้าโครงการและมีกลุ่มนักวิชาการจากหลายแห่งร่วมกันเป็นทีมวิจัยหลัก พื้นที่ตัวอย่าง ๘ จังหวัด ครอบคลุม ๔ ภูมิภาค ภาคละ ๒ จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ พิจิตร โคราช ยโสธร สระแก้ว กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา แต่ละจังหวัดจะสร้างทีมประสานการวิจัย และมีเครือข่ายการวิจัยในพื้นที่ไปตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงคุณภาพของผลการวิจัยและโอกาสการเรียนรู้ สร้างคนและทุนทางสังคมเพื่อทำงานให้กับสังคม ทุกภาคมีศูนย์ส่งเสริมสุขภาพภาคประชาชนเป็นเครือข่ายประสานงานกับทีมนักวิจัยส่วนกลาง
กิจกรรมสำคัญในโครงการนี้จะดำเนินการร่วมกันเป็น ๓ ระยะ โดยระยะแรก จะระดมกันวิเคราะห์และศึกษาสถานการณ์ของจังหวัดอย่างรอบด้านเพื่อดูสถานะว่าศักยภาพของ อสม ในบริบทของพื้นที่ระดับจังหวัดต่างๆเป็นอย่างไร มีรูปแบบการดำเนินงานเชิงรุกของตนเองอย่างไร ผลกระทบเชิงบวก เชิงลบ ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคเป็นอย่างไร จากนั้น ระยะที่สอง ก็จะเป็นข่ายการวิจัยร่วมกันทำกรณีศึกษาเชิงลึกของแบบอย่างที่ดีตามประเด็นสำคัญต่างๆ ระยะที่สาม จะร่วมกันจัดเวทีสาธารณะ พัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและผลักดันการนำไปสู่การปฏิบัติใระดับต่างๆร่วมกันต่อไป โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ๑ ปีถึงปี ๒๕๕๔
จุดเริ่มต้น พัฒนาเครือข่ายและพัฒนาแผนเพื่อระดมปฏิบัติการวิจัยร่วมกัน
เมื่อวันอังคารที่ ๙ - พุธที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา โครงการข่ายการวิจัยประเมินอย่างมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนานโยบายสนับสนุนศักยภาพ อสม เข้าสู่การบริการระบบสุขภาพชุมชนนี้ ได้เริ่มสร้างทีมวิจัยของจังหวัดและพัฒนาความร่วมมือของเครือข่ายหน่วยงาน สช ของภาคต่างๆ ที่วังยางรีสอร์ต จังหวัดสุพรรณบุรี ผมร่วมเป็นทีมนักวิจัยส่วนกลาง และในเชิงพื้นที่ ก็จะทำงานร่วมกับทีมพื้นที่ของภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่และพิจิตร หลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้แล้ว ทีมจังหวัดและข่ายการวิจัยจะร่วมกันวิเคราะห์กรณีศึกษาระดับจังหวัดในระยะแรกก่อน โดยจะดำเนินการไปถึงประเมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
การจัดการความรู้และบริหารจัดการข่ายการวิจัยทางไกลจากอินเทอร์เน็ต
ทางข่ายการวิจัยขอให้ผมช่วยเปิดบล๊อกเป็นเวทีประสานเครือข่ายการทำงานให้หน่อย ซึ่งก็ตรงกับความตั้งใจของผมอยู่พอดี เลยก็เป็นที่มาของบล๊อกซึ่งเป็นเวทีข่ายการวิจัยสุขภาพชุมชนและ อสม นี้นะครับ หน้านี้เป็นหน้าแนะนำเพื่อให้เครือข่ายทุกท่าน รวมไปจนถึงประชาชนและผู้สนใจทั่วไปได้ใช้เป็นช่องทางการสื่อสารและบริหารจัดการเครือข่าย รวมทั้งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้มีความหมายที่สุดอย่างที่ทุกท่านสนใจ
เวทีในบล๊อกนี้เชื่อมโยงกับภารกิจของเครือข่ายการวิจัยได้อย่างไรบ้าง ?
เชิญทุกท่านตามอัธยาศัยครับ ผมจะปรับปรุงรายละเอียดและเชื่อมโยงเว็บต่างๆให้มีเครือข่ายการทำงาน ส่งเสริมข่ายการวิจัยของทุกท่านให้ดียิ่งๆขึ้นในภายหลังนะครับ.
แถมภาพบรรยากาศจากเวิร์คช็อปพัฒนาทีมแกนกลางของจังหวัดและพัฒนาโครงการระยะแรกของจังหวัด ที่วังยาวรีสอร์ต สุพรรณบุรี อีกครับ
เจริญพร
เป็นคนหนึ่งในทีมวิจัยของภาคกลาง..ปรารถนาที่จะทำงานวิจัยชิ้นนี้...ให้ดีที่สุด...เพราะส่วนตัวแล้วเคยเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตลอด เห็นว่า อสม.ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับงานสาธารณสุขมาด้วยหัวใจ..แม้ไม่มีค่าตอบแทนใดๆเลย...ดังนั้นสิ่งใดท่จะทำเพื่อตอบแทน อสม.ขอทำด้วยความเต็มใจยิ่ง..ขณะนี้ทีมงานภาคกลางกำลังดำเนินงานวางแผนการทำงานอยู่และจะเร่งทำให้ดีที่สุด...เพื่อ...ตอบแทนคุณ อสม.และแผ่นดินไทย
เชียงใหม่ขอเข้าร่วมด้วยความความยินดี แต่ขอให้การคัดเลือกอสม.ระดับชาติเสร็จสิ้นก่อนค่ะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแลครับ
สวัสดีครับคุณนกเอี้ยงครับ
ไปวังยาวพี่อาจารย์ดร.วิรัตน์เห็นบ้านหลังนี้ไหม...(ภาพล่าง)
ชอบมอง..
สวัสดีครับคุณจิดาภาครับ
สวัสดีครับน้องคุณครูอ้อยเล็ก
เขาเรียกต้นจิก..หรืออะไรนี่แหล่ะค่ะพี่อาจารย์ดร. ห่างไกลจากชนบทมานานหลงลืมซะแล้ว...คนหนอคนทั้งๆที่บ้านน๊อกบ้านนอกฮาๆอีกแล้ว...สงสัยพี่อาจารย์จะพักห้องเดียวกันมั้งนี่..แต่คนละหน่วยงาน...คนละเรื่องฮาๆเลยตรงนี้เป็นที่พักแถวแฝดนะคะ..
อ้าว นี่ก็บังเอิญอีกเหมือนเช่นกัน ผมไปเวิร์คช็อปเรื่องนี้ที่วังยางก็ให้นึกถึงอาจารย์กู้เกียรติพอดี เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่อง อสม กับบทบาทการทำงานระดับชุมชน แล้วก็บางกรณีก็มีเครือข่ายการทำงานเชื่อมโยงไปถึงท้องถิ่นกับหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงมหาดไทยด้วย ยังนึกถึงอาจารย์กู้เกียรติอยู่ว่าคนทำงานชุมชนของกระทรวงมหาดไทยนั้นเดี๋ยวนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้างมากน้อยแค่ไหนหรือไม่
ที่อาจารย์กู้เกียรติ quote คำพูดมานี่ ทำให้นึกถึงอัธยาศัยของเจ้าของของวังยางรีสอร์ตไปด้วยเลย เขาจะแนะนำอย่างนี้แหละครับ แต่พระมาทางน้ำนี่ ทำให้นึกถึงวิธีมาทางน้ำได้หลายๆแบบมากเลยนะครับ เอาเป็นว่าท่านมาทางเรือก็แล้วกัน
ปฏิบัติการวิจัยไปพร้อมกับการสร้างทีม : การสร้างทีมและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือผ่านการพัฒนาประเด็นคำถาม เครื่องมือการวิจัยของพื้นที่ และการวางแผนระดมการเก็บรวบรวมข้อมูล
ลักษณะของการวิจัยนโยบาย ที่เป็นการสะท้อนเสียงของผู้ปฏิบัติโดยมี อสม และชุมชนในพื้นที่เป็นตัวตั้ง ส่วนกลุ่มผู้เกี่ยวข้องต่างๆ เป็นเครือข่ายการมีส่วนร่วมเพื่อเสริมศักยภาพการนำการปฏิบัติ และการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของ อสม อย่างนี้ มีความจำเป็นหลายอย่างที่ทีมวิจัยจะต้องนำมาคิด พิจารณา ออกแบบแนวคิดและปฏิบัติการวิจัยในแนวทางใหม่ๆที่ต่างไปจากการวิจัยแบบดั้งเดิม ที่สำคัญคือ
๑. การสร้างเครื่องมือและวางแผนทำงานจากพื้นที่ : การพัฒนาประเด็นคำถามและเครื่องมือ ที่เครือข่ายประชาชนและผู้มีส่วนร่วมจะสามารถเป็นผู้ใช้และมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ กระทั่งนำเอาความรู้ไปแก้ปัญหาและนำเสนอสู่สาธารณะ ทั้งในเวทีผลักดันนโยบายและช่องทางต่างๆที่มีโอกาส
๒. การสร้างศักยภาพทีมวิจัยของพื้นที่ : การพัฒนาศักยภาพของทีมและเครือข่ายประชาชน นักวิจัยท้องถิ่นของจังหวัด รวมทั้ง กลุ่มประชาคมวิจัยของ อสม เพื่อเป็นชุมชนวิจัยและเป็นเครือข่ายระดมพลังการมีส่วนร่วมในการวิจัยประเมินอย่างมีส่วนร่วมในครั้งนี้
๓. การปรับบทบาทและพัฒนาแนวปฏิบัติอย่างใหม่ของนักวิจัยหลัก : การพัฒนาวิธีคิดและการปรับบทบาทของนักวิจัยจากภาครัฐทั้งในพื้นที่และจากภายนอก ให้ลดบทบาทความเป็นนักวิจัยด้วยตนเอง สู่การเป็นกระบวนกรและวิทยากรกระบวนการ ขับเคลื่อนกระบวนการการวิจัยและการทำงานร่วมกัน ผ่านการสร้างศักยภาพการแก้ปัญหาและวิจัยประเมินโดยกลุ่มคนของจังหวัด ซึ่งเมื่อนำไปบวกกับการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้โดยทีมจัยหลัก รวมทั้งการจะต้องมีการสำรวจในภาพรวมโดยประเด็นกลางๆระดับประเทศ ก็จะทำข้อมูลและหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆมีความสมบูรณ์มากทั้งจากทรรศนะของคนในพื้นที่จังหวัด และจากกรอบทรรศนะของผู้อื่นที่มองเข้าไปในชุมชน
ในขั้นแรกนี้ หากทีมวิจัยของจังหวัดและศูนย์ สช ภาค รวมทั้งทีมนักวิจัยหลักจากส่วนกลาง เริ่มต้นจากการวางกรอบวิจัยประเมิน สร้างเครื่องมือตามกรอบทฤษฎีและข้อมูลที่มีมาก่อนจากแหล่งต่างๆ ด้วยการทำงานกันเองตามแนวการวิจัยดั้งเดิมแบบทั่วไป ก็จะทำให้ขาดองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความรู้และเข้าถึงความจริงให้สะท้อนบริบทของพื้นที่จังหวัด รวมทั้งสะท้อนเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคต่างๆ อีกทั้งจะมีจำนวนมากมาย สามารถพัฒนาเครื่องมือให้ครอบคลุมทฤษฎีและความรู้ของนักวิชาการ แต่อาจจะก้าวล้ำประสบการณ์ของพื้นที่ไปอย่างมากมาย ไม่ได้เดินออกจากจุดที่ชุมชนยืนอยู่
ขณะเดียวกัน เนื่องจากไม่ได้สร้างขึ้นจากฐานประสบการณ์ของชุมชนและทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากโลกทรรศน์ของชุมชน ก็จะยิ่งขาดแคลนผู้คนในพื้นที่จังหวัดที่จะมาเป็นเครือข่ายวิจัยได้ด้วยการมีส่วนร่วมของเขาเองอย่างเต็มที่ ต้องเป็นเพียงแหล่งข้อมูลและผู้ให้การสัมภาษณ์ (Key informant) และในการเป็นทีมวิจัย อย่างมากก็มีส่วนร่วมได้เพียงถือแบบสอบถามเดินไปถามประชาชนและชาวบ้านด้วยกันเอง ซึ่งแม้พอจะอ่านหนังสือในแบบสอบถามออก แต่ก็จะก่อให้เกิดข้อจำกัดและเสียภาวะผู้นำในตนเองมากยิ่งๆขึ้นเป็นลำดับทั้งการเป็นผู้สัมภาษณ์และการเขียนบันทึก รวบรวมข้อมูล
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงขั้นวิเคราะห์ข้อมูลแบบนี้ คนของจังหวัดก็อาจจะไม่สามารถมีส่วนร่วมงานทางเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้นได้อีกแล้ว กระบวนการต่างๆก็จะไหลลู่เข้าสู่งานของทีมวิจัยภายนอก เมื่อนำเสนอในเวทีสาธารณะและเมื่อสื่อสารกับสาธารณะ ก็จะขาดความสมดุลในการเป็นเสียงสะท้อนจากชุมชนบนความเป็นจริงในสภาพวการณ์อย่างที่ชุมชนส่วนใหญ่เป็นและดำรงอยู่
ดังนั้น แนวคิดและองค์ประกอบต่างๆของการวิจัย จึงควรมีการนำมาใคร่ครวญ สร้างวิธีคิด ออกแบบวิธีดำเนินการเสียใหม่ และพัฒนาแนวการทำงานกันใหม่ของกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งการเริ่มต้นจาก ๓ องค์ประกอบในขั้นแรกนี้ แม้เป็นงานเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวแรกที่จะเริ่มทำให้กระบวนการทั้งหมดยืดหยุ่นต่อเงื่อนไขการปฏิบัติที่เป็นความจำเป็นของการวิจัยแนวนี้ ซึ่งจะทำให้ได้การวิจัยที่มีคุณภาพ ก่อเกิดการเรียนรู้และสร้างทุนทางสังคมให้กับสังคมในท้องถิ่น และเสริมศักยภาพเครือข่าย อสม ให้สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมไม่เพียงในการผลักดันแนวนโยบายในเวทีนโยบายสาธารณะ ทว่า จะสามารถนำเอากลับไปสะท้อนสู่การแก้ปัญหาทางการปฏิบัติของตนได้เองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การที่จะพัฒนาเครื่องมือ แล้วค่อยหาทีม ค้นหาคน และรวบรวม ระดมพลังกันมาทำงาน จากนั้นจึงประชุมเชิงปฏิบัติการ สร้างข้อตกลง แล้วก็ใช้ความจำเป็นที่เกิดขึ้น พัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อสร้างศักยภาพการปฏิบัติให้แก่ทีม เหล่านี้ ดูมีหลักการดีครับ แต่เนื่องด้วยระยะเวลา ทรัพยากร ขีดจำกัดจากความเป็นจริงในการทำงานของผู้คน หากแยกส่วนออกจากกัน ทำคนละครั้ง ไม่อออกแบบกระบวนการและปรับแนวการทำงานวิจัยในแนวนี้กันใหม่ ก็จะก่อให้เกิดผลกระทบมากไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้น การทำงานและการตั้งคำถามย่อยๆเพื่อเก็บบันทึกข้อมูลการวิจัยประเมินไปด้วยที่จะแก้ปัญหานี้พร้อมกับทำงานไปด้วยจึงจะมีอยู่ว่า ในระยะเวลาสั้นๆและมีข้อจำกัดหลายด้าน ขั้นแรกนี้ ทีมวิจัยของจังหวัด จะสามารถขับเคลื่อนงานอย่างบูรณาการ โดยนำเอาการตั้งประเด็นคำถาม การสร้างเครื่องมือการวิจัย การสร้างทีม การพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้มีส่วนร่วมปฏิบัติการวิจัย และการวางแผนดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะแรก มาดำเนินการด้วยกัน ให้เหมาะสมที่สุดได้อย่างไร ? ค้นหาคน และสร้างศักยภาพทีม ผ่านกิจกรรมพัฒนาประเด็นคำถาม สร้างเครื่องมือ และวางแผนปฏิบัติการวิจัย ไปด้วยกันในเวทีกระบวนการเดียวกันได้หรือไม่ ? หากได้ ดำเนินการอย่างไร ? นักวิจัยต้องปรับบทบาทและต้องพัฒนาทักษะการทำวิจัยร่วมกับชุมชนในแนวทางใหม่ๆอย่างนี้ อย่างไรบ้าง?
เชิญรวบรวมประสบการณ์ แลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาวิธีคิด แสวงหาความรู้และพัฒนาเทคนิคการปฏิบัติที่ดีที่สุดและให้การวิจัยมีคุณภาพดีที่สุด ในขั้นแรกเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ใครมีประสบการณ์อย่างไรก็นำมาถ่ายทอด แนะนำ และเผยแพร่เป็นแนวคิดให้แก่คนอื่นๆได้ครับ.
โชคดี มั่งมี ศรีสุข สุขภาพดี เฮงๆเฮงค่ะ
พี่อาจารย์เช็คเมล์ด้วยค่ะครอ้อยเล็กส่งเมล์ไปให้ประมาณ 3 ฉบับแล้วมังคะ..เช็คเมล์แล้วพี่อาจารย์จะขำค่ะ...
สวัสดีค่ะพี่ชาย อ.ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์
เมื่อวันที่ศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พานักเรียน.ชั้นป.6 เคลือบหลุมร่องฟันค่ะ
พอออกมาได้ก็อธิบายให้เพื่อนฟังละเอียดทุกขั้นตอน
ได้ความรู้จากประสบการณ์จริงค่ะ
ส่วนนักเรียนหญิงคนนี้ ถามเพื่อนว่าต้องวางยาสลบหรือเปล่า เจ็บไหม
นี่กระมัง ที่เด็กๆกลัวเรื่องการไปหาหมอทำฟันค่ะ
สวัสดีครับน้องนก คุณครูจุฑารัตน์
สวัสดีครับ เป็นกำลังใจให้อาจารย์ครับ
ขอบพระคุณครับคุณเบดูอินครับ สบายดีนะครับ ขอสวัสดีปีใหม่จีน และขอให้มีความสุข สุขภาพดีมากๆยิ่งๆขึ้นครับ
มาส่งสุขวันแห่งความรักค่ะ..มีความสุขน่ะค่ะ
ต่อประเด็นจาก Dialogue box 2 ของพระอาจารย์มหาแล ขำสุข(อาสโย)
ส้วมหลุม สุขาภิบาล ไฟฟ้า กับสุขภาพและวิถีชีวิชนบทของสังคมไทยก่อน ๒๕๒๐
ท่านพระอาจารย์มหาแลท่านได้กรุณาสะท้อนประสบการณ์ชีวิตในช่วงโดยรอบปี ๒๕๒๐ ที่ร่วมสมัยกับการที่ก่อเกิดเจตนารมย์การสาธารณสุขมูลฐานขึ้นในเวทีการประชุมระดับโลกที่เมืองอัลมา อตา (Alma Ata) มลรัฐคาซัคสถาน ประเทศสหภาพโซเวียตรัสเซีย(ในขณะนั้น) แล้วประเทศต่างๆก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแปรไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งประเทศไทย อย่างที่ผมเกริ่นให้ข้อมูลไว้ในข้างต้น ท่านเป็นคนหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ เช่นเดียวกับผม
พระคุณเจ้าได้ถ่ายทอดประสบการณ์หลายอย่างในลักษณะนี้ จนทำให้ผมสนใจหาวิธีเก็บรักษาเรื่องราวที่มีคุณค่าเหล่านี้ไว้ เลยเกิดเวทีสร้างความรู้และเรียนรู้ชุมชนด้วยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของคนหนองบัว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการค้นหาและเข้าถึงความเป็นนักวิจัยโดยธรรมชาติของคนท้องถิ่น ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่เครือข่ายการวิจัยพัฒนานโยบายเสริมศักยภาพ อสม ของทีมจังหวัด ลองแวะไปดูที่นี่ครับ (๑) เวทีที่ผมเปิดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลของท่านพระอาจารย์มหาแลและคนที่เข้ามาคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน (๒) เวทีคนหนองบัว : ลานปัญญาของคนหนองบัว และ เวทีเรียนรู้สร้างสุขภาวะของคนหนองบัว ในเวทีเหล่านี้ จะเห็นแนวการค้นหาคนท้องถิ่นที่ได้จากการเรียนรู้ไปกับชุมชนด้วยว่า ชาวบ้าน เด็ก พระสงฆ์ ผู้นำในองค์กรท้องถิ่นทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ครู รวมทั้งการแวะเวียนเข้ามาเมื่อตนเองมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เหล่านี้ สามารถเป็นนักวิจัยในเรื่องตนอเองได้อย่างดีเมื่อได้รับเสริมศักยภาพที่จำเป็นเพียงบางด้าน
สภาวการณ์สังคมอย่างที่ท่านกล่าวถึงในยุคเริ่มต้นการสาธารณสุขมูลฐานกรณีของชุมชนอำเภอหนองบัวนั้น ลองแวะไปดูที่นี่ครับ สุขาภิบาลและสาธารณสุขชุมชนบ้านตาลิน และ แรกมีของอำเภอหนองบัว โรงหนัง โรงไฟฟ้าฯ
โรงไฟฟ้าแห่งแรกในยุคก่อนปี ๒๕๒๐ โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคและสภาพชุมชนท้องถิ่นของอำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ อ่านเรื่องที่ได้ที่ แรกมีของอำเภอหนองบัว โรงหนัง โรงไฟฟ้าฯ วาดภาพ : วิรัตน์ คำศรีจันทร์
ส้วมหลุม : สุขาภิบาลก่อนยุค ๒๕๑๐ เป็นส้วมหลุมอย่างดี มีหลังคาคุ้มแดดฝนและฝากำบังมิดชิดและใช้ไม้แก้งก้น เป็นภาพวาดส้วมหลุมของโรงเรียนวันครู (๒๕๐๔) อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วาดภาพ : วิรัตน์ คำศรีจันทร์
น้ำดื่มและน้ำอุปโภคบริโภคของโรงเรียนและชุมชน : การขุดสระโรงเรียนและสำหรับแหล่งน้ำสาธารณะของชุมชน ก่อนยุค ๒๕๒๐ โรงเรียนวันครู(๒๕๐๔) อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วาดภาพ : วิรัตน์ คำศรีจันทร์
นอกจากเป็นแนวคิดแล้ว ก็เป็นตัวอย่างวิธีเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสร้างความรู้ร่วมกับชุมชน แล้วก็ใช้การวาดรูปเพื่อบันทึกและนำเสนอผลการวิจัย ซึ่งหลายกรณีจะให้พลังการเข้าใจได้อย่างชัดเจนดีกว่าการพรรณา แจกแจง และแสดงด้วยตาราง สื่อสารกับชาวบ้านและสร้างการเรียนรู้กับสาธารณะได้ดีกว่าวิธีการอย่างอื่น แต่เรื่องเหล่านี้ นักวิจัยมักไม่ค่อยได้ใช้และต้องพัฒนาทักษะเพิ่มขึ้นใหม่ แต่จะใช้ประโยชน์ได้มากอย่างยิ่งครับ
ขอบคุณ คุณครู New.บันเทิง ด้วยครับ ขอให้ความรักงอกงาม เป็นกำลังใจ และเป็นพลังชีวิตทุกวันและทุกห้วงชีวิตเลยครับ
ส่งความสุข เทศกาลไทย - จีนค่ะ
มีความสุขมากๆครับน้องนก : คุณครูจุฑารัตน์
กิจกรรมวิชาการน่าสนใจสำหรับนักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปครับ
การบรรยายพิเศษและเสวนาวิชาการ :
นักสังคมศาสตร์กับการวิจัยเชิงนโยบายและระบบสุขภาพเพื่อสังคมสุขภาวะ
บรรยายนำการเสวนาโดย นายแพทย์พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข
ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสุขภาพ
วันพฤหัสบดี ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมและห้องรับรอง คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
จัดโดย สาขาสังคมศาสตร์และสุขภาพ และโครงการหนังสือและตำรา
งานนี้น่าสนใจมากในหลายเรื่องครับ (๑) เรื่องสุขภาพในปัจจุบันไม่พอที่จะแก้ไขและพัฒนาด้วยมิติทางชีววิทยาการแพทย์อย่างเดียว แต่ต้องปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวลด้อม การเมือง และวัฒนธรรมด้วย นักสังคมศาสตร์ รวมทั้งสาขามนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ กำลังอยู่ตรงไหนในเรื่องสุขภาพและสังคมสุขภาวะ จะต้องทำอะไรกันเพิ่มขึ้นหรือไม่ และจะต้องทำอย่างไรกันบ้าง เป็นเรื่องที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเสวนากันในวงวิชาการได้มากมาย (๒) เรื่องสุขภาพและสุขภาวะของสังคม นอกจากกำลังเป็นวิกฤติแทบจะในทุกขอบเขตของสังคมไทยแล้ว ก็เป็นเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับทุกคนอยู่ตลอดไป ดังนั้น จึงนอกจากจะเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญแล้ว ก็สามารถเป็นยุทธศาสตร์และประเด็นนำการเปลี่ยนแปลงให้กับด้านอื่นอีกด้วย จึงมีสิ่งที่จะต้องนำเสนอบทบาทเชิงรุกและชี้นำการแปลี่ยนแปลงให้แก่สังคมอีกมากมาย (๓) การพัฒนาการวิจัยและงานวิชาการทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในปัจจุบัน ในสภาพที่สังคมโลกมุ่งเอารายได้ทางเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งนั้น บ้างก็ว่าไม่มีความสำคัญ มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกก็แทบจะต้องยุบและเลิก เพราะลงทุนไปก็ไม่เกิดกำไรและให้ผลทางเศรษฐกิจ และบ้างก็ว่ามีความเจริญก้าวหน้า สามารถชี้นำการพัฒนาสังคมได้มากขึ้น จึงได้รับความสำคัญและจะมีบทบาทต่อแนวโน้มการพัฒนาใหม่ๆมากขึ้น นักสังคมศาสตร์จึงจะจัดวางทรรศนะที่พอดีไว้ตรงไหน และ (๔) หมอพงษ์พิสุทธิ์ นักกิจกรรมเก่านับแต่ยุคเป็นนักศึกษาแพทย์ กระทั่งปัจจุบันก็เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จึงเป็นแพทย์และนักปฏิบัติการเชิงสังคม ที่จะพูดเรื่องนี้ทั้งสอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม ได้มิติทางวิชาการ และเห็นประเด็นเชิงนโยบาย ได้ดีที่สุดคนหนึ่งของสังคมไทย
ที่สำคัญคือ เวทีนี้มีความแตกต่างและมีเอกลักษณ์ความเป็นมหิดล เวทีนี้คุยกันที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ที่รวมเอาสาขาสำคัญๆ ทั้งทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศิลปศาสตร์บางสาขา ศึกษาศาสตร์ สังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม นิติศาสตร์และอาชญาวิทยา ไว้ด้วยกันอย่างเป็นสหวิทยาการได้มากที่สุดในหมู่มหาวิทยาลัยของประเทศ (มหาวิทยาลัยต่างๆจะแยกสาขาเหล่านี้ออกเป็นคณะวิชา) อีกทั้งเป็นสังคมศาสตร์ที่มีพัฒนาการเชื่อมโยงและใกล้ชิดกับการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพมากที่สุดของประเทศ จึงไม่เหมือนกับเวทีไหนๆ....พลาดไม่ได้ครับ
ทีมภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ โดยทีมของจังหวัดกับทีม สช.ภาคเหนือ ส่งเอกสารแผนกิจกรรมและประมาณการค่าใช้จ่ายในโครงการของทีมพื้นที่ไปให้ทีมประสานงานส่วนกลางของโครงการวิจัยแล้วครับ
จังหวัดเชียงใหม่นี้ จะมีการลงไปจัดเวทีในพื้นที่และเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่สร้างขึ้นกับคนในพื้นที่ให้ครอบคลุมตัวแทนสำหรับวิเคราะห์ทั้งจังหวัด และทำสัมภาษณ์กับสนทนากลุ่มเชิงลึกตามประเด็นการวิจัยที่สำคัญ ที่อำเภอสันทราย พร้าว และฮอด ระยะแรกจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์แรกของมิถุนายน ๒๕๕๓
รวมทั้งมีตัวอย่าง เอกสารข้อมูลและการเรียนรู้เกี่ยวชุมชนบ้านสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ส่งไปให้ด้วย มีกิจกรรมของ อสม ดีเด่นหลายกิจกรรม ทั้งทางด้านยาเสพติด การเป็นผู้นำทำเกษตรอินทรีย์ การทำโครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและโครงการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจหลายอย่าง รวมทั้งการนำเสนอสภาวการณ์ในการทำงานสร้างสุขภาวะของชุมชนอย่างบูรณาการ ซึ่งหลายด้านมีข้อมูลที่เป็นการรวบรวมศักยภาพและทุนทางสังคมของชุมชนไว้บ้างแล้ว
ทีมจังหวัด ของจังหวัดเชียงใหม่ในเบื้องต้นนี้มี ๗ คน ประกอบด้วย : ประธาน ๑. ผชช.ว. หรือ ส. ๒. น.ส.จิดาภา พวงเพ็ชร ๓. นายทรงยศ คำชัย ๔. นางนุชจรินทร์ พันธุ์บุญปลูก ๕. อบจ. ๖. นายมณี อรินต๊ะ ๗. ผู้รับผิดชอบงานอำเภอ ฮอด และ พร้าว
ผู้ประสานงานของทีมเชียงใหม่ คือ คุณอรอนงค์ ดิเรกบุษราคัม ทีมร่วมวิจัยและสนับสนุนวิชาการจากข่ายวิจัยศูนย์สุขภาพภาคประชาชนภาคเหนือ คือ คุณจิดาภา พวงเพ็ชร ครับ
พอมีเวลานั่งอ่านกระทู้พี่ๆน้องในเว็บเพาะช่าง เจอกระทู้นี้อ่านไปๆน้ำตาไหลเลย...
http://www.pohchang.org/webboard/index.php?topic=2371.0
พอๆกับบล็อกพี่แดงเลยค่ะพี่อาจารย์...
สุขภาพกับการเสริมสร้างพลังปัจเจกและประชากรกลุ่มพิเศษ
ศิลปะบำบัดสำหรับผู้ป่วยเด็ก คุณภากรมาส ทำกิจการร้านขายกาแฟและสอนศิลปะที่บ้านแถวบางใหญ่-บางบัวทอง อาสาไปทำกิจกรรมบำบัดให้แก่ผู้ป่วยเด็กที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดูเหมือนผมจะเคยอ่านจากบล๊อกที่เธอเขียนเองนี้เช่นกันว่าเป็นโรงพยาบาลศรีราชา ชลบุรี แต่ตอนที่เขียนนี้กลับไปหาข้อมูลอ้างอิงให้ยังไม่เจอ ใช้ศิลปะเป็นกิจกรรมให้เด็กทำ ในระยะหลังก็ระดมเอาลูกและคนที่มีจิตอาสาด้วยกัน ไปช่วยกันทำ ผมเพิ่งจะคุยกับน้องๆนักวิจัยของผมว่าเราน่าจะหาเวลาหยุดตั้งสติสักพัก แล้วก็ไปหย่อนใจ หาอาหารใจและหาแรงบันดาลใจให้กับชีวิตกันบ้าง ซึ่งผมเสนอให้พากันไปเที่ยวเมืองโบราณ สัจธรรมปราสาท แล้วก็ชวนแวะไปบ้านกาแฟของคุณภากรมาสนี่เอง อ้างอิงภาพ : ภากรมาส | pagornmars : เว็บบล๊อกเครือข่ายศิษย์เก่าเพาะช่าง http://www.pohchang.org/webboard/index.php?topic=2371.165
ทุกรายการพรรคพวกเห็นชอบหมด แต่ในที่สุดก็จัดเวลากันได้แค่ชั่วโมงกว่า เลยไปที่หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์ ไปถึงก็กลายเป็นวันหยุดของหอศิลป์เสียนี่ เลยจำต้องเปลี่ยนใจเดินไปพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีที่กรมโยธาเดิมและอยู่ใกล้ๆกัน ไปถึงก็ปิดอีกเพราะเป็นเวลาเลิกงานไปแล้ว ที่สุดก็เดินขึ้นภูเขาทองไปไหว้พระบรมธาตุ แล้วก็ได้ยืนรับลมและดูวิวกรุงเทพฯ จากนั้นก็เดินไปโลหะปราสาท วัดราชนัดดา
เรียนรู้และหาแนวคิด
งานจิตอาสาของคุณภากรมาสนี้ ติดตามอ่านแล้วก็คงต้องนั่งซึมทั้งสงสารเด็กและประทับใจการสะท้อนความคิดจิตใจของคนทำคือคุณภากรมาสเอง เด็กๆกลุ่มผู้ป่วยที่คุณภากรมาสไปทำกิจกรรมศิลปะบำบัดนี้ เป็นกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งขั้นวิกฤติ เด็กบางคนเจ็บป่วย หยุดสื่อสารกับโลกภายนอก และทำท่าจะหยุดพัฒนาการอีกหลายอย่าง คุณภากรมาสก็ใช้ศิลปะและกระบวนการต่างๆที่ออกมาจากการปฏิสัมพันธ์กับเด็กด้วยตัวคุณภากรมาสเอง ที่สุดก็ช่วยเด็กๆให้มาอยู่กับงานศิลปะและทำให้เด็กได้มีวิธีฟื้นฟูจิตใจ มีความสุข และทำให้การดำเนินชีวิตอย่างเป็นปรกติได้เป็นธรรมชาติการเยียวยาตนเองอย่างเป็นองค์รวมให้แก่เด็กอีกทีหนึ่ง
กระบวนการที่ทำนี้ช่วยทำให้การบำบัดรักษาและดูแลเด็กทางการแพทย์ ได้ผลดีขึ้น มีการวิจัยและสังเกตการณ์ในทางวิชาการเข้าช่วยด้วย รวมทั้งมีทีมผู้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงและครูให้แก่เด็กช่วยด้วยคือลูกสาวของคุณภากรมาสเอง อ่านการถ่ายทอดความคิดและบันทึกรายงานจากข้อสังเกตตนเองของคุณภากรมาสแล้ว ก็เห็นพลังของความเป็นแม่ที่ใส่เข้าไปในการทำกิจกรรมแบบจิตอาสานี้ให้กับเด็กๆ
คุณภากรมาสเป็นศิษย์เก่าของเพาะช่าง ดูเหมือนจะเป็นรุ่นน้องผมหลายปี มีประสบการณ์ในการทำงานทั้งในและต่างประเทศ ประสบความสำเร็จในชีวิตและอิ่มเต็มพอสมควรแก่ชีวิตแล้ว ความคิดหลายอย่างเลยค่อนข้างลงตัวและมีพลังมากครับ
อ้างอิงภาพ : อาจารย์ I_dears จากเว๊บเพาะช่างหัวข้อเดียวกันhttp://www.pohchang.org/webboard/index.php?topic=2371.165
ศิลปะกับพัฒนาการเด็กและการเสริมสร้างทักษะปฏิบัติของปัจเจก
ในหัวข้อบล๊อกที่คุณภากรมาสเข้าไปคุยไว้นั้น เจ้าของกระทู้ที่เปิดหัวข้อคุยเผยแพร่เรื่องศิลปะกับการบำบัดเด็กพิเศษ ใช้นามแฝงว่า I_dear เป็นอาจารย์สอนศิลปะในโปรแกรมนานาชาติอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน หากลองคลิ๊กเข้าไปอ่านเอกสารในเว๊บบล๊อก ก็จะบอกว่าชื่อจริงคือ อาจารย์คมกฤษ เมฆหมอก แต่ผมไม่แน่ใจว่าหมายถึงคนเดียวกันหรือเปล่า แต่ดูรูปแล้วจำได้ครับ เคยได้เจอและคุยกันเมื่อปี ๒๕๕๒ ตอนที่ผมกับเพื่อนๆไปแสดงงานที่หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์มาแนะนำตนเองว่าเป็นรุ่นน้องผมที่เพาะช่าง ห่างรุ่นปีกันไม่กี่ปี ดูเหมือนจะเป็นครูศิลปะถวายงานให้กับคุณพุ่มด้วยครับ เป็นคนเก่ง มีวิธีคิดเป็นตัวของตัวเองและสุภาพอ่อนน้อมเหมือนคนไม่มีอะไร
การพัฒนาเป็นแนวริเริ่มทำงานในระบบบริการสุขภาพชุมชน
การพัฒนาแนวคิดและค้นหาเพื่อระบุกลุ่มประชากรสำหรับทำงานสุขภาพเชิงพื้นที่ในกรอบแนวคิดใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและจะทำให้การทำงานสุขภาพในมิติต่างๆของชุมชนเข้มแข็งมากยิ่งๆขึ้นนะครับ ลักษณะงานอย่างนี้สามารถริเริ่มและพัฒนาระบบบริการสุขภาพได้ในทุกระดับ ทั้งในและนอกโรงพยาบาลกับหน่วยบริการสุขภาพ อีกทั้งสามารถไปทำในครอบครัวผสมผสานกับรูปแบบ Home Ward ที่เน้นเรื่องสุขภาพใกล้บ้านใกล้ใจ และคนทำงานเชิงสังตมและขับเคลื่อนชุมชนก็สามารถพัฒนากิจกรรมในศูนย์สุขภาพชุมชนหรือเวทีชุมชน
กิจกรรมศิลปะอย่างในตัวอย่างของคุณภากรมาสและอาจารย์ไอเดียร์ที่น้องคุณครูอ้อยเล็กลิ๊งค์มาชวนกันดูนี้ ไม่เพียงจะช่วยให้ปัจเจกมีพลังการพึ่งตนเองเพื่อบำบัดฟื้นฟู เผชิญความเจ็บป่วย และสามารถมีสุขภาวะ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นทั้งกายและจิตใจเท่านั้น แต่จะทำให้ปัจเจกและกลุ่มคนที่ร่วมทำกิจกรรมด้วยตนเอง มีทักษะการคิดและได้รับการพัฒนาการแสดงออกเป็นกลุ่ม ซึ่งความเป็นชุมชนและความเป็นกลุ่มก้อนที่ปฏิสัมพันธ์กันด้วยกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติที่เป็นระบบอย่างนี้ ก็จะมีพลังฟื้นฟูและสร้างความสมดุลในจิตใจ ทำให้ธรรมชาติมีกำลังที่จะทำงานและดูแลตนเองได้ดีขึ้น การทำงานสร้างนำซ่อมและงานเชิงรุก ที่เน้นสร้างเสริมสุขภาพและพัฒนาทักษะการดูแลตนเองในชุมชนต่างๆก็จะมีประสทิธิภาพมากขึ้น
น่าสนใจ และหลายพื้นที่ที่สนใจก็สามารถพัฒนาทีม พัฒนาแนวคิด สำรวจ วิเคราะห์ศักยภาพ และพัฒนาการมีส่วนร่วมของทุนทางสังคมในด้านนี้ที่มีอยู่ในชุมชน ให้เป็นเครือข่ายปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ได้อีกด้วยกระมังครับ พื้นที่จังหวัดไหนและภูมิภาคไหนมีบทเรียนอยู่บ้างก็อาจจะช่วยถ่ายทอดแบ่งปันให้กันได้นะครับ
อย่างจังหวัดสงขลานั้น เท่าที่ผมทราบก็มีอยู่มากมายทั้งระดับที่ทำกันเป็นกลุ่มท้องถิ่นและกลุ่มที่มีเครือข่ายถึงนานาชาติเลย ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีศิลปินพื้นบ้านจำนวนหนึ่งที่เป็น อสม.ด้วย เป็นเครือข่ายสร้างการเรียนรู้และพัฒนาการปฏิบัติที่ส่งเสริมสุขภาพ และสร้างสุขภาวะชุมชนได้อย่างกลมกลืนและสอดคล้องกับวิถีท้องถิ่นมากจริงๆครับ
ขอบคุณน้องคุณครูอ้อยเล็กที่นำเอาลิ๊งค์เพาะช่างมาให้ได้แวะเข้าไปเยี่ยมนะครับ ผมเองนั้นก็เข้าไปดูเป็นระยะๆเหมือนกัน แต่เว๊บมักล่มอยู่เรื่อย เลยไม่ค่อยกล้าเขียนและเอารูปไปโพสต์ไว้ ยังไม่ได้กลับไปลองดูอีกเลยครับว่ายังโพสต์รูปได้อยู่อีกไหม