รัฐปาละสูตร เหตุผลของการออกบวช


“ท่านรัฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อมสี่ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ถึงเข้าแล้ว ย่อมปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ความเสื่อม ๔ ประการนั้นเป็นไฉน คือ ความเสื่อมเพราะชรา ๑ ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ ๑ ความเสื่อมจากโภคสมบัติ ๑ ความเสื่อมจากญาติ ๑”

เราเห็นมนุษย์ทั้งหลายในโลก ที่เป็นผู้มีทรัพย์ ได้ทรัพย์แล้วย่อมไม่ให้เพราะความหลง โลภแล้วย่อมทำการสั่งสมทรัพย์ และยังปรารถนากามทั้งหลายยิ่งขึ้นไป

 

พระราชาทรงแผ่อำนาจชำนะตลอดแผ่นดิน ทรงครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด มิได้ทรงรู้จักอิ่มเพียงฝั่งสมุทรข้างนี้ ยังทรงปรารถนาฝั่งสมุทรข้างโน้นอีก

พระราชาและมนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมาก ยังไม่สิ้นความทะเยอทะยาน ย่อมเข้าถึงความเป็นผู้พร่องอยู่ ละร่างกายไปแท้ ความอิ่มด้วยกามย่อมไม่มีในโลกเลย

อนึ่ง ญาติทั้งหลายพากันคร่ำครวญสยายผมถึงผู้นั้นอยู่ พากันกล่าวว่าได้ตายแล้วหนอ พวกญาตินำเอาผู้นั้นคลุมด้วยผ้าไปยกขึ้นเชิงตะกอน  แต่นั้นก็เผากัน

ผู้นั้น เมื่อกำลังถูกเขาเผาอยู่ ถูกแทงอยู่ด้วยหลาวมีแต่ผ้าผืนเดียว ละโภคสมบัติไป ญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลายเป็นที่ต้านทานของบุคคลผู้จะตายไม่มี

ทายาททั้งหลายก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ส่วนสัตว์ย่อมไปตามกรรมที่ทำไว้ ทรัพย์อะไรๆย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้ บุตรภรรยา ทรัพย์และแว่นแคว้นก็เช่นนั้น

บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อมไม่กำจัดชราได้ด้วยทรัพย์ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาลย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล

 

ส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะเหตุนั้นแล ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์ ปัญญาเป็นเหตุถึงที่สุดในโลกนี้ได้

คนเป็นอันมากทำบาปกรรมเพราะความหลงในภพน้อยภพใหญ่ เพราไม่มีปัญญาเครื่องให้ถึงที่สุด สัตว์ที่ถึงการท่องเที่ยวไปมา ย่อมเข้าถึงครรภ์บ้าง ปรโลกบ้าง

ผู้อื่นนอกจากผู้มีปัญญานั้น ย่อมเชื่อได้ว่าจะเข้าถึงครรภ์และปรโลก หมู่สัตว์ผู้มีบาปธรรม ละโลกนี้ไปแล้วย่อมเดือดร้อน เพราะกรรมของตนเองในโลกหน้า

เปรียบเสมือนโจรผู้มีความผิด ถูกจับเพราะโจรกรรม มีตัดช่องเป็นต้น ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนเอง

ฉะนั้น ความจริงกามทั้งหลายวิจิตร รสอร่อยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิต ด้วยรูปมีประการต่างๆ

มหาบพิตร อาตมาภาพ(พระรัฐปาล)เห็นโทษในกามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นจึงบวชเสีย ผลไม้ทั้งหลายยังไม่หล่นทีเดียว มาณพทั้งหลาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ย่อมมีสรีระทำลายได้

มหาบพิตร อาตมภาพรู้เหตุนี้จึงบวช ความเป็นสมณะเป็นข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นคุณอันประเสริฐแท้ ดังนี้แล.....

ครับนี้เป็นการกล่าวพระคาถาหลังจากที่ท่านพระรัฐปาลกล่าวธรรมกับพระเจ้าโกรัพยะแล้ว ที่อุทยานมิคาจิระ ณ ที่นั้นพระเจ้าโกรัพยะตรัสกะพระรัฐปาลว่า

“ท่านรัฐปาละผู้เจริญ ความเสื่อมสี่ประการนี้ ที่คนบางพวกในโลกนี้ถึงเข้าแล้ว ย่อมปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ความเสื่อม ๔ ประการนั้นเป็นไฉน คือ ความเสื่อมเพราะชรา ๑ ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้ ๑ ความเสื่อมจากโภคสมบัติ ๑ ความเสื่อมจากญาติ ๑”

ความเสื่อมเพราะชราเป็นไฉน ท่านรัฐปาล คนบางคนในโลกนี้เป็นคนแก่แล้ว เป็นคนเฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เขาคิดเห็นดังนี้ว่า เดียวนี้เราเป็นคนแก่แล้ว เป็นคนเฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ

ก็การที่เราจะได้โภคสมบัติที่ยังไม่ได้ หรือการที่เราจะทำโภคสมบัติที่ได้แล้วให้เจริญ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

เขาประกอบด้วยความเพราะชรานั้น จึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดูก่อนท่านรัฐปาละ นี้เรียกว่าความเสื่อมเพราะชรา

ส่วนท่านรัฐปาลผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ก็ยังหนุ่มแน่นมีผมดำสนิท ประกอบด้วยความหนุ่มมีความเจริญเป็นวัยแรก ไม่มีความเสื่อมเพราะชรานั้นเลย

ท่านรัฐปาละรู้เห็นอะไร หรือได้ฟังอะไร จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเล่า?

ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้เป็นไฉน ท่านรัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้เป็นคนอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก เขาคิดเห็นดังนี้ว่า........เขาประกอบด้วยความเสื่อมเพราะความเจ็บไข้นั้น จึงปลงผมและหนวด ....ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมจากโภคทรัพย์นั้นเป็นไฉน ท่านรัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก โภคสมบัติเหล่านั้นของเขาสิ้นไปโดยลำดับ.....เขาประกอบด้วยความเสื่อมจากโภคสมบัตินั้น จึงปลงผมและหนวด.....ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ท่านรัฐปาละ ก็ความเสื่อมจากญาติเป็นไฉน ท่านรัฐปาละ คนบางคนในโลกนี้ มีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตเป็นอันมาก ญาติเหล่านั้นของเขาถึงความสิ้นไปโดยลำดับ.....เขาประกอบด้วยความเสื่อมจากญาตินั้น จึงปลงผมและหนวด......ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

ครับนี้คือ เหตุของการออกบวชจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต(นักบวช)ในสมัยนั้น ส่วนการบวชในปัจจุบันนี้จะแบ่งออกเป็นกี่อย่างก็แล้วแต่ แต่ความเป็นจริงก็คือหาคนที่จะบวชด้วยศัทธาเหมือนพระรัฐปาละนี้หายากนัก

นี้เป็นสูตรหนึ่งในหลายๆสูตรที่พวกเราได้เห็นได้ฟังกันบ่อยๆอ่านพระสูตรนี้แล้วได้ความคิดหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่คิดได้ก็คือ คฤหัสถ์ในสมัยนี้กับสมัยก่อนคิดอัดอั้นตันใจเหมือนกัน คิดไม่ออกว่าการบวชนี้จะมีประโยชน์อะไรต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น

จึงหลายท่านให้ตั้งคำถามเหมือนพระเจ้าโกรัพยะว่า เอก็ท่านไม่ได้มีความเสื่อมอะไรเลยแล้วทำไมจึงบวช อะไรทำให้ท่านบวช ท่านได้ฟังได้เห็นอะไรจึงคิดบวช

คนสมัยนี้ก็มีหลายท่านที่คิดคล้ายกัน บางคนที่ยังไม่เข้าใจถึงกับพูดกลายๆว่า ท่านจะเอาอะไร ถึงบวชนานๆเขาก็ไม่ยกทรัพย์สมบัติในวัดนั้นให้ท่านเป็นเจ้าของดอก บางท่านบอกว่า บวชทำไมเสียเวลาทำมาหากิน เสียเวลาเอาเวลานั้นมาประกอบอาชีพยังจะได้เงินทองบ้าง บางท่านถึงกับเปรียบเปรยว่า เวลาที่ท่านบวชวันหนึ่งๆ(๒๔ชั่วโมง) นั้น ถ้าเขาไปทำงานเขาได้เงินเป็นหลายๆล้านบาทเลยทีเดียว(สำหรับคนรวย) ถ้าเขามาบวชสักวันหนึ่งคงต้องเสียรายได้ไปหลายล้านเลย 

บางท่านยิ่งเลวร้ายใหญ่ไม่มีเหตุผล บอกว่าท่านอย่าบวชเลย มีแต่คนโง่ๆเท่านั้นแหละที่คิดจะบวช เอ้า เอาเข้าไปนี่ก็เป็นความคิดของแต่ละท่านที่เคยได้ยินได้ฟังมา

ยัง ยังไม่หมดแถมอีกนิดว่า ความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้หมาแมวเต็มวัดไปหมดก็จะอะไรเสียอีกละญาติโยมสาธุชนทั้งหลาย ความคิดที่ว่าเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว แก่แล้ว สิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว สิ้นญาติมิตรไม่มีที่ชุกหัวนอนบ้าง จึงบวชเพื่ออะไรมันจะดีขึ้นบ้าง เรียกอีกอย่างว่า ไม่มีทางไปแล้ว ไม่มีคุณภาพแล้ว ไม่มีใครปรารถนาแล้วเมื่อเป็นอย่างนี้มันก็จบตรง “เอาไปไว้วัด”

คิดๆไปอาตมาก็เลยคิดว่า “หมาแมวนี่เหมือนพระ หรือว่า พระเหมือนหมาแมวกันแน่”

หนักไปไหมสำหรับคำๆนี้ ถ้าหนักไปสำหรับพระคุณเจ้าหรือบางท่านก็ต้องขออโหสิด้วยครับ ที่ผมเขียนบันทึกนี้จริงแล้วจุดโฟกัสมันอยู่ที่คำตอบของท่านพระรัฐปาละเถระว่าท่านตอบได้ตรงเป้าเลย เรียกว่าทำให้เจ้าของคำถามหลายท่านชึมกระทือไปเลยก็ว่าได้

เหตุผลในการบวชของท่านก็คือ ธัมมุทเทศ ๔ ข้อ อันจะเชิญมาในบันทึกหน้า(ถ้าไม่ลืมเสียก่อน)ให้ญาติโยมได้ดูกันเผื่อจะถึงบางอ้อกัน วันนี้ก็ยาวพอสมควรขอจบแต่เพียงเท่านี้ เอวํ เอวํ เอวํ

หมายเลขบันทึก: 335440เขียนเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2010 23:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สาธุ

มาเรียนรู้กับพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ

คุณโยมณัฐ แวะมาเยี่ยมเป็นกำลังใจให้อาตมาด้วย เจริญพระนะ

ว่าแล้วว่าจะเขียนหลุด หลุดจริงๆ เจริญพรนะคุณณัฐ ความจริงอาตมาเขียนบันทึกแบบหนาวๆร้อนๆมาพอสมควรจึงคิดที่จะเขียนแบบธรรมะๆบ้าง แต่พอเขียนเข้าจริงก็ยังไม่เนียนอยู่ดี คงพออ่านได้นะทุกๆท่าน

นมัสการเจ้าค่ะ

วันนี้นำดอกบัวมาฝากเจ้าค่ะ

นมัสการลา

ดอกบัวคุณณัฐสวยดีนะ เจริญพรที่มีแก่ใจนำมาฝากดอกบัวเป็นดอกไม้ที่สำคัญทางพุทธศาสนาเห็นดอกบัวแล้วคิดถึงกัลยาณมิตรทุกๆท่านครับ

นมัสการเจ้าค่ะ

พระคุณเจ้ายังไม่บันทึกเรื่องใหม่หรือเจ้าคะ

ติดตามงานพระคุณเจ้าอยู่นะเจ้าคะ

บันทึกใหม่หรือคุณโยม ยังไม่เสร็จเลยขัดเกลาอยู่มีหลายเรื่องแต่ยังไม่เสร็จสักกะเรื่องเลย ว่าจะเขียนธัมมุทเทศต่อแต่เขียนไปมากลายเป็นเรื่องอื่นไป เเนะนำทีทำไงคุณโยม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท