ผ่านไปแล้ว 4 เดือนของปีงบประมาณ 53 ฟังดูเหมือนรัฐบาลจะมีทิศทางพัฒนาบริการปฐมภูมิ ผ่านนโยบาย " รพสต. " เราถือว่ามันน่าจะเป็นโอกาส แต่อนิจจา ยังเป็นนโยบายที่ไร้จินตนาการภาพฝันที่แจ่มชัด เช่นนโยบายเรื่อง "กำลังคน " ทั้งปริมาณและคุณภาพ มีแต่ตั้งงบฯ จะซื้อของกันลูกเดียว สอ. ที่อยู่ทำงานแค่ 2-3 คน ( จนท.) รับทั้งงานบริการบนสำนักงาน และงานในชุมชน คนหนึ่งรับดูแล 3-4 หมู่บ้าน ไม่น่าจะเพียงพอ ถึงแม้จะผลิตเพิ่มทั้งพยาบาล และจพสช. แต่คงยังไม่เพียงพอกับงานบริการที่ขยายตัวมากขึ้น ทันตาภิบาลก็ยังเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์ในระดับสูง ผมเคยสัมภาษณ์จนท. ใหม่ 2-3 คน เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเด็กผู้หญิง เขาบอกว่าชอบงานบริการบนสำนักงานมากกว่าการออกชุมชน ตรงกับที่ได้ยินมา จนท. ที่สอ. ของผม ไม่ได้ทำงานอนามัย รร. แล้ว (นอกจากคัดกรอง) ฟังดูน่าตกใจ ตอนนี้ สอ. ของผม มีจนท. อย่างน้อย 3 คน ทั้ง 13 แห่งแล้วครับ (ไม่รวมทันตาภิบาลอีก 5 คน ยูนิตอีก 3 ชุด mobile อีก 3 ) มี nurse practitioners 2 คน กำลังเรียนอีก 1 คน ดูดีกว่าเดิมมากเลย กำลังคิดต่อเรื่อง continuous learning ผ่านการ training , supervision and remote consultation เรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ ผมก็จัดหาให้ทั้งเพียงพอทั้ง main and sub PCUs เสริมด้วยนักจิตวิทยา และกายภาพบำบัด ที่บริการถึงบ้าน หากบริหารจัดการดีๆ ผลลัพธ์ทางสุขภาพน่าจะดีขึ้นครับ
ผมจึงคิดว่าเรื่องพัฒนาบริการปฐมภูมินี้น่าลงทุน และน่าเรียนรู้
สวัสดีค่ะ คุณหมอ
เรามักจะพูดกันเสมอว่าปัญหาของประชาชนมาเป็นที่หนึ่ง เอาเข้าจริง ก็เอาเงินเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ว่าคนอยู่ สอ.คิดผิดนะคะ แต่พวกเราถูกสอนและปลูกฝังมาอย่างนั้น จนมองไปว่างานไหนไม่ได้ค่าตอบแทนจะทำไปทำไม ตัวชี้วัดนี้จังหวัดไม่ต้องการ จะทำไปทำไม แม้แต่จังหวัดเอง ก็ยังพูดว่า เมื่อมีไม่มีตัวชี้วัด ก็ไม่ทำ ฟังแล้วหนูรู้สึกหดหู่ใจจัง
จึงไม่แปลกที่คน สอ.ไม่อยากออกพื้นที่
เชียร์ค่ะคุณหมอเรื่อง continuous learning
โชคดีจังเลยค่ะที่ ชุมพวง มีนักจิตวิทยาด้วย ที่แก่งคอยไม่มีค่ะ