ธรรมหรรษา
รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

(๓) กัณฑกะ: ม้าดีที่โลกลืม


             "พญาม้ากัณฐกะ" เป็นม้าที่ถึงพร้อมด้วยรูป คือส่วนยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ๑๘ ศอก ส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวมีฝีเท้าและกำลังอันเลิศ มีสีขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว นายฉันนะคิดว่าเราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้ เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์

             "ม้ากัณฐกะ" เมื่อถูกจัดเตรียมก็ รู้ว่าพระลูกเจ้าของเราคงจักมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์อย่างไม่ ต้องสงสัย เพราะการเตรียมครั้งนี้ไม่เหมือนเวลาที่เสด็จในวันอื่นๆ ม้ากัณฐกะมีใจยินดี ส่งเสียงร้องดังกังวาน

              เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จลงจากปราสาทแล้ว เสด็จไปยังโรงม้าตรัสกับพญาม้าว่า “กัณฐกะ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งสักครั้งหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย” จากนั้นพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะ ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องพระปฤษฎางค์ (ข้างหลัง) เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งพระนครในตอนเที่ยงคืน

              เมื่อเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ประทับยืน ณ ริมฝั่งน้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่อใด นายฉันนะทูลตอบว่า "ชื่ออโนมานที พะย่ะค่ะ" พระองค์จึงเอาสันพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้ากัณฐกะได้กระโดดข้ามแม่น้ำอัน กว้างสุดประมาณ ไปยืนที่ฝั่งตรงข้าม พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายริมฝั่งน้ำ

              เ้จ้าชายสิทธัตถะทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มี จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี (มวยผม) จนเหลือพระเกศายาวเพียงสององคุลีเวียนขวา แนบติดพระเศียร ส่วนพระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณเหมาะกับพระเกศา พระเกศาและพระมัสสุของพระโพธิสัตว์ได้มีประมาณเท่านั้นตลอดพระชนม์ชีพ กิจด้วยการปลงพระเกศาและพระมัสสุมิได้มีอีกต่อไป

              จากนั้น ตรัสสั่งนายฉันนะว่า " เธอจงนำม้ากัณฐกะกลับไป แล้วกราบทูลข่าวการบรรพชาของเราแก่พระชนกและพระมาตุจฉา"

               นายฉันนะกราบทูลว่า แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง นายฉันนะจึงจำใจถวายบังคม และทำประทักษิณแล้วหลีกไป

               ส่วน "ม้ากัณฐกะ" ได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ที่ตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า  "บัดนี้เราจักไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ จึงหัวใจแตกตายในเวลาต่อมา และไปบังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า "กัณฐกะเทพบุตร" ในภพดาวดึงส์.

จ้าชายสิทธัตถะลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมเสด็จไปยัง พระทวาร  ตรัสกับนายฉันนะซึ่งเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นว่า  วันนี้เราประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์เจ้าจงจัดเตรียมสินธพฝีเท้าดีให้ตัว หนึ่ง  นายฉันนะรับพระราชดำรัสแล้วถือเครื่องแต่งม้าไปยังโรงม้าเห็น พญาม้ากัณฐกะ  เป็นม้าที่ถึงพร้อมด้วยรูป  คือส่วนยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ๑๘ ศอก  ส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวมีฝีเท้าและกำลังอันเลิศ  มีสีขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว  นายฉันนะคิดว่าเราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้  เพื่อพระลูกเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ 

http://www.lannatalkkhongdee.com/Admin/Filemanament/AllFile/UserFile/mem0000003/picture/sue-93-budha-1.jpg 

                 ม้ากัณฐกะเมื่อถูกจัดเตรียมก็ รู้ว่าพระลูกเจ้าของเราคงจักมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์อย่างไม่ ต้องสงสัย  เพราะการเตรียมครั้งนี้ไม่เหมือนเวลาที่เสด็จในวันอื่นๆ ม้ากัณฐกะมีใจยินดี  ส่งเสียงร้องดังกังวาน  แต่เทวดาปิดกั้นไว้ไม่ให้ใครได้ยิน

                พระโพธิสัตว์เมื่อทรงใช้นายฉันนะ ไปแล้ว  มีพระดำริว่า  เราจักไปดูลูกก่อน  จึงเสด็จไปยังที่ประทับของมารดาพระราหุล  ทรงเปิดพระทวาร  ขณะนั้นประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพรงอยู่   มารดาพระราหุลบรรทมหลับวางพระหัตถ์ไว้เหนือเศียรของพระโอรส   พระโพธิสัตว์ประทับยืนข้างพระทวารทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า  ถ้าเราจะยกพระหัตถ์ของพระเทวีออกแล้วจับลูกเรา  พระเทวีก็จักตื่น  มหาภิเนษกรมณ์ของเราก็จักเป็นอันตราย  เราจักเป็นพระพุทธเจ้าก่อน  แล้วจึงกลับมาเยี่ยมลูก  ทรงดำริดังนี้แล้วจึงเสด็จลงจากปราสาทไป 

                พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากปราสาท แล้ว  เสด็จไปยังโรงม้าตรัสกับพญาม้าว่า  “กัณฐกะ  วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งสักครั้งหนึ่งเถิด  เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย”  จากนั้นพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะ  ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องพระปฤษฎางค์ (ข้างหลัง) เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งพระนครในตอนเที่ยงคืน 

                หลังจากที่พราหมณ์ทั้งหลาย พยากรณ์พระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว  พระราชาทรงให้กระทำบานประตูพระนครสองบาน  แต่ละบานจะต้องใช้บุรุษหนึ่งพันคนเปิด  ด้วยพระดำริว่า  พระโอรสจักไม่สามารถเปิดประตูพระนครออกไปได้ไม่ว่าเวลาใดๆ   แต่พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง  มีพระดำริว่า  ถ้าประตูไม่เปิด  วันนี้เราจักนั่งบนหลังกัณฐกะนี้แหละ  จักเอาสองขาหนีบกัณฐกะแล้วกระโดดข้ามกำแพงไปพร้อมกับฉันนะ  ส่วนนายฉันนะก็คิดว่า  ถ้าประตูไม่เปิดก็จะให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอ  สองขาหนีบม้ากัณฐกะแล้วกระตุ้นให้กัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไป

                                ฝ่ายม้ากัณฐกะ ก็คิดว่า  หากประตูไม่เปิดจักยกพระลูกเจ้าตามที่ประทับนั่งอยู่พร้อมกับนายฉันนะโดด ข้ามกำแพงออกไป  ทั้งสามคิดเหมือนกันอย่างนี้  แต่เทวดาที่สถิตอยู่ที่ประตูได้ช่วยกันเปิดประตูใหญ่ให้พระโพธิสัตว์  เมื่อเสด็จพ้นประตูพระนคร  พระโพธิสัตว์ทรงบังคับม้ากัณฐกะให้หันกลับ  เพื่อทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งหนึ่ง  จากนั้นจึงเสด็จดำเนินต่อไป 

              ขณะนั้น วสวัตตีมาร  เข้ามายืนขวางทาง  ห้ามมิให้พระโพธิสัตว์ออกมหาภิเนษกรมณ์  แล้วกล่าวว่า  นับแต่นี้ ๗ วัน  จักรรัตนะทิพย์จะปรากฏแก่ท่าน  ท่านจักได้ครอบครองราชย์สมบัติแห่งทวีปใหญ่ทั้ง ๔  มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร  ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์  ท่านจงกลับไปเสียเถิด   พระโพธิสัตว์ตรัสว่า  เราทราบว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา  แต่เราไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ  เราจักเป็นพระพุทธเจ้า  จงไปเสียเถิดมาร  มารจึงกล่าวว่า  นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจักคอยแสวงหาโอกาส  และจักติดตามพระองค์ไปดุจเงาฉะนั้น   พระโพธิสัตว์มิได้มีความอาลัย  ละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ (น้ำลาย)  เสด็จดำเนินต่อไปด้วยพระทัยอันมั่นคง  

                กาลนั้นเหล่าเทวดาพากันชูคบเพลิง แวดล้อมพระโพธิสัตว์  เหล่านาคและครุฑเป็นต้นก็บูชาด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์  ตลอดทางที่เสด็จดำเนินผ่านผืนนภาเนืองแน่นไปด้วยดอกปาริชาติและดอกมณฑารพ   ทิพยสังคีตทั้งหลายบรรเลงขึ้นโดยรอบ   พระโพธิสัตว์เสด็จผ่านราชอาณาจักรทั้ง ๓ โดยราตรีเดียวเท่านั้น  ในที่สุดหนทาง ๓๐ โยชน์  เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง  ประทับยืน  ณ ริมฝั่งน้ำ  ตรัสถามนายฉันนะว่า  แม่น้ำนี้ชื่อใด  นายฉันนะทูลตอบว่า  ชื่อ อโนมานที  พะย่ะค่ะ  พระองค์จึงเอาสันพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้ากัณฐกะได้กระโดดข้ามแม่น้ำอัน กว้างสุดประมาณ  ไปยืนที่ฝั่งตรงข้าม  พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า  ประทับยืนที่หาดทรายริมฝั่งน้ำ

http://www.lannatalkkhongdee.com/Admin/Filemanament/AllFile/UserFile/mem0000003/picture/sue-93-budha-2.jpg

                พระ โพธิสัตว์ทรงดำริว่า  ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต  ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มี  จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี (มวยผม)  จนเหลือพระเกศายาวเพียงสององคุลีเวียนขวา  แนบติดพระเศียร  ส่วนพระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณเหมาะกับพระเกศา  พระเกศาและพระมัสสุของพระโพธิสัตว์ได้มีประมาณเท่านั้นตลอดพระชนม์ชีพ  กิจด้วยการปลงพระเกศาและพระมัสสุมิได้มีอีกต่อไป

http://www.lannatalkkhongdee.com/Admin/Filemanament/AllFile/UserFile/mem0000003/picture/sue-93-budha-3.jpg

                     จากนั้นพระโพธิสัตว์ทรงรวบ พระเมาลี  อธิษฐานว่า  “ถ้าเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  ขอให้ผมของเราจงตั้งอยู่ในอากาศ  ถ้าไม่สามารถตรัสรู้ได้ก็ขอให้ตกลงบนพื้นแผ่นดิน”  แล้วทรงเหวี่ยงขึ้นไป  กำพระเมาลีลอยขึ้นไปในอากาศประมาณหนึ่งโยชน์  แล้วได้ตั้งอยู่ในอากาศ   ลำดับนั้น  ท้าวสักกะเทวราชทรงนำผอบรัตนะมารับพระเมาลีนั้นไว้  นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ชื่อว่า  จุฬามณีเจดีย์           

                     พระ โพธิสัตว์ทรงดำริอีกว่า  ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านี้มีค่ามาก  ไม่สมควรแก่สมณเพศ  ครั้งนั้น  ฆฏิการมหาพรหม  ผู้เป็นสหายเก่าของพระโพธิสัตว์ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า  มีความเป็นมิตรมาตลอดพุทธันดรหนึ่ง  คิดว่า  วันนี้สหายของเราจักออกมหาภิเนษกรมณ์  เราจักนำสมณบริขารไปเพื่อสหายนั้น  แล้วจึงนำบริขาร ๘  ไปถวาย คือ  ไตรจีวร   บาตร  มีด   เข็ม   รัดประคดและผ้ากรองน้ำ   อันเป็นสมณบริขารของภิกษุผู้ประกอบความเพียร    พระโพธิสัตว์ทรงครองผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์  ทรงถือเพศบรรพชิตอันอุดม  แล้วทรงเหวี่ยงอาภรณ์ที่วิสสุกรรมเทพบุตรตกแต่งให้ในอุทยาน  ขึ้นไปบนอากาศ   ท้าวมหาพรหมมารับไว้  แล้วสร้างเจดีย์ด้วยรัตนะในพรหมโลก  บรรจุอาภรณ์เหล่านั้นไว้ภายในพระเจดีย์

                จากนั้น  ตรัสสั่งนายฉันนะว่า  เธอจงนำม้ากัณฐกะกลับไป  แล้วกราบทูลข่าวการบรรพชาของเราแก่พระชนกและพระมาตุจฉา  นายฉันนะกราบทูลว่า  แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช  พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง  นายฉันนะจึงจำใจถวายบังคม  และทำประทักษิณแล้วหลีกไป  ส่วนม้ากัณฐกะได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ที่ตรัสกับนายฉันนะ  คิดว่าบัดนี้เราจักไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป  พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้  หัวใจแตกตายในทันทีนั้น  และไปบังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า  กัณฐกะเทพบุตร  ในภพดาวดึงส์  นายฉันนะถูกความโศกเบียดเบียนอีกเป็นครั้งที่สอง  จำใจต้องเดินทางกลับด้วยความทุกข์......

 

หมายเลขบันทึก: 331625เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2010 00:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท