"พญาม้ากัณฐกะ" เป็นม้าที่ถึงพร้อมด้วยรูป คือส่วนยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ๑๘ ศอก ส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวมีฝีเท้าและกำลังอันเลิศ มีสีขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว นายฉันนะคิดว่าเราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้ เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์
"ม้ากัณฐกะ" เมื่อถูกจัดเตรียมก็ รู้ว่าพระลูกเจ้าของเราคงจักมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์อย่างไม่ ต้องสงสัย เพราะการเตรียมครั้งนี้ไม่เหมือนเวลาที่เสด็จในวันอื่นๆ ม้ากัณฐกะมีใจยินดี ส่งเสียงร้องดังกังวาน
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จลงจากปราสาทแล้ว เสด็จไปยังโรงม้าตรัสกับพญาม้าว่า “กัณฐกะ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งสักครั้งหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย” จากนั้นพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะ ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องพระปฤษฎางค์ (ข้างหลัง) เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งพระนครในตอนเที่ยงคืน
เมื่อเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ประทับยืน ณ ริมฝั่งน้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่อใด นายฉันนะทูลตอบว่า "ชื่ออโนมานที พะย่ะค่ะ" พระองค์จึงเอาสันพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้ากัณฐกะได้กระโดดข้ามแม่น้ำอัน กว้างสุดประมาณ ไปยืนที่ฝั่งตรงข้าม พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายริมฝั่งน้ำ
เ้จ้าชายสิทธัตถะทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มี จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี (มวยผม) จนเหลือพระเกศายาวเพียงสององคุลีเวียนขวา แนบติดพระเศียร ส่วนพระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณเหมาะกับพระเกศา พระเกศาและพระมัสสุของพระโพธิสัตว์ได้มีประมาณเท่านั้นตลอดพระชนม์ชีพ กิจด้วยการปลงพระเกศาและพระมัสสุมิได้มีอีกต่อไป
จากนั้น ตรัสสั่งนายฉันนะว่า " เธอจงนำม้ากัณฐกะกลับไป แล้วกราบทูลข่าวการบรรพชาของเราแก่พระชนกและพระมาตุจฉา"
นายฉันนะกราบทูลว่า แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง นายฉันนะจึงจำใจถวายบังคม และทำประทักษิณแล้วหลีกไป
ส่วน "ม้ากัณฐกะ" ได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ที่ตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า "บัดนี้เราจักไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ จึงหัวใจแตกตายในเวลาต่อมา และไปบังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า "กัณฐกะเทพบุตร" ในภพดาวดึงส์.
จ้าชายสิทธัตถะลุกขึ้นจากพระแท่นบรรทมเสด็จไปยัง พระทวาร ตรัสกับนายฉันนะซึ่งเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นว่า วันนี้เราประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์เจ้าจงจัดเตรียมสินธพฝีเท้าดีให้ตัว หนึ่ง นายฉันนะรับพระราชดำรัสแล้วถือเครื่องแต่งม้าไปยังโรงม้าเห็น พญาม้ากัณฐกะ เป็นม้าที่ถึงพร้อมด้วยรูป คือส่วนยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ๑๘ ศอก ส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาวมีฝีเท้าและกำลังอันเลิศ มีสีขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว นายฉันนะคิดว่าเราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้ เพื่อพระลูกเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์
|
ม้ากัณฐกะเมื่อถูกจัดเตรียมก็ รู้ว่าพระลูกเจ้าของเราคงจักมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์อย่างไม่ ต้องสงสัย เพราะการเตรียมครั้งนี้ไม่เหมือนเวลาที่เสด็จในวันอื่นๆ ม้ากัณฐกะมีใจยินดี ส่งเสียงร้องดังกังวาน แต่เทวดาปิดกั้นไว้ไม่ให้ใครได้ยิน พระโพธิสัตว์เมื่อทรงใช้นายฉันนะ ไปแล้ว มีพระดำริว่า เราจักไปดูลูกก่อน จึงเสด็จไปยังที่ประทับของมารดาพระราหุล ทรงเปิดพระทวาร ขณะนั้นประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพรงอยู่ มารดาพระราหุลบรรทมหลับวางพระหัตถ์ไว้เหนือเศียรของพระโอรส พระโพธิสัตว์ประทับยืนข้างพระทวารทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจะยกพระหัตถ์ของพระเทวีออกแล้วจับลูกเรา พระเทวีก็จักตื่น มหาภิเนษกรมณ์ของเราก็จักเป็นอันตราย เราจักเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วจึงกลับมาเยี่ยมลูก ทรงดำริดังนี้แล้วจึงเสด็จลงจากปราสาทไป พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากปราสาท แล้ว เสด็จไปยังโรงม้าตรัสกับพญาม้าว่า “กัณฐกะ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งสักครั้งหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย” จากนั้นพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะ ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งเบื้องพระปฤษฎางค์ (ข้างหลัง) เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งพระนครในตอนเที่ยงคืน หลังจากที่พราหมณ์ทั้งหลาย พยากรณ์พระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว พระราชาทรงให้กระทำบานประตูพระนครสองบาน แต่ละบานจะต้องใช้บุรุษหนึ่งพันคนเปิด ด้วยพระดำริว่า พระโอรสจักไม่สามารถเปิดประตูพระนครออกไปได้ไม่ว่าเวลาใดๆ แต่พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง มีพระดำริว่า ถ้าประตูไม่เปิด วันนี้เราจักนั่งบนหลังกัณฐกะนี้แหละ จักเอาสองขาหนีบกัณฐกะแล้วกระโดดข้ามกำแพงไปพร้อมกับฉันนะ ส่วนนายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิดก็จะให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอ สองขาหนีบม้ากัณฐกะแล้วกระตุ้นให้กัณฐกะกระโดดข้ามกำแพงไป |
ฝ่ายม้ากัณฐกะ ก็คิดว่า หากประตูไม่เปิดจักยกพระลูกเจ้าตามที่ประทับนั่งอยู่พร้อมกับนายฉันนะโดด ข้ามกำแพงออกไป ทั้งสามคิดเหมือนกันอย่างนี้ แต่เทวดาที่สถิตอยู่ที่ประตูได้ช่วยกันเปิดประตูใหญ่ให้พระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จพ้นประตูพระนคร พระโพธิสัตว์ทรงบังคับม้ากัณฐกะให้หันกลับ เพื่อทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเสด็จดำเนินต่อไป กาลนั้นเหล่าเทวดาพากันชูคบเพลิง แวดล้อมพระโพธิสัตว์ เหล่านาคและครุฑเป็นต้นก็บูชาด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ ตลอดทางที่เสด็จดำเนินผ่านผืนนภาเนืองแน่นไปด้วยดอกปาริชาติและดอกมณฑารพ ทิพยสังคีตทั้งหลายบรรเลงขึ้นโดยรอบ พระโพธิสัตว์เสด็จผ่านราชอาณาจักรทั้ง ๓ โดยราตรีเดียวเท่านั้น ในที่สุดหนทาง ๓๐ โยชน์ เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ประทับยืน ณ ริมฝั่งน้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่อใด นายฉันนะทูลตอบว่า ชื่อ อโนมานที พะย่ะค่ะ พระองค์จึงเอาสันพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้ากัณฐกะได้กระโดดข้ามแม่น้ำอัน กว้างสุดประมาณ ไปยืนที่ฝั่งตรงข้าม พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายริมฝั่งน้ำ |
|
พระ โพธิสัตว์ทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มี จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี (มวยผม) จนเหลือพระเกศายาวเพียงสององคุลีเวียนขวา แนบติดพระเศียร ส่วนพระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณเหมาะกับพระเกศา พระเกศาและพระมัสสุของพระโพธิสัตว์ได้มีประมาณเท่านั้นตลอดพระชนม์ชีพ กิจด้วยการปลงพระเกศาและพระมัสสุมิได้มีอีกต่อไป
|
จากนั้นพระโพธิสัตว์ทรงรวบ พระเมาลี อธิษฐานว่า “ถ้าเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ผมของเราจงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่สามารถตรัสรู้ได้ก็ขอให้ตกลงบนพื้นแผ่นดิน” แล้วทรงเหวี่ยงขึ้นไป กำพระเมาลีลอยขึ้นไปในอากาศประมาณหนึ่งโยชน์ แล้วได้ตั้งอยู่ในอากาศ ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรงนำผอบรัตนะมารับพระเมาลีนั้นไว้ นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ชื่อว่า จุฬามณีเจดีย์ จากนั้น ตรัสสั่งนายฉันนะว่า เธอจงนำม้ากัณฐกะกลับไป แล้วกราบทูลข่าวการบรรพชาของเราแก่พระชนกและพระมาตุจฉา นายฉันนะกราบทูลว่า แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง นายฉันนะจึงจำใจถวายบังคม และทำประทักษิณแล้วหลีกไป ส่วนม้ากัณฐกะได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ที่ตรัสกับนายฉันนะ คิดว่าบัดนี้เราจักไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ หัวใจแตกตายในทันทีนั้น และไปบังเกิดเป็นเทพบุตรนามว่า กัณฐกะเทพบุตร ในภพดาวดึงส์ นายฉันนะถูกความโศกเบียดเบียนอีกเป็นครั้งที่สอง จำใจต้องเดินทางกลับด้วยความทุกข์...... |
ไม่มีความเห็น