ตะลุยป่าแห่งดินแดนปางจำปี


"ขอต้อนรับเพื่อนๆแห่งบล็อกGo to know นะคะ และขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงบล็อกที่ 5 นี้ ในบล็อกนี้จะเล่าเรื่องราวและประสบการณ์อันน่าตื่นเต้น     มากมายเกี่ยวกับการเดินทางเข้าป่าในวันที่ 2 ของการเดินทาง ณ ปางจำปีแห่งนี้นะค่ะ กล่าวได้ว่าเราได้ข้อมูลมากมายเลยทีเดียวสำหรับการเดินป่า 

ในวันนี้จะมีอะไรกันบ้างนั้น เพื่อนๆหลายคนคงจะอยากรู้กันแล้วล่ะสิ  อย่ารอช้า...

ไปชมกันเลยค่ะ!"

   

  • ลุงสวัสดิ์ ^

          เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่อากาศดีและสดชื่น เหมาะกับการออกไปสำรวจป่ายิ่งนัก เย้! การเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องมีวิทยากรมาเป็นไกด์นำทางและให้ข้อมูลกับพวกเรา นั่นคือลุงสวัสดิ์ หรือที่ชาวบ้านหลายๆคนมักจะเรียกกันว่า “ลุงหวัด” นั่นเอง ลุงแกอัธยาศัยดีและเป็นกันเองมากๆเลยค่ะ

                ในขณะที่เรากำลังสอบถามข้อมูลเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสัตว์ป่าก่อนที่เราจะเข้าป่ากันนั้น เราก็ได้ไปสะดุดตากับกรงไก่กรงหนึ่ง ก็มีลักษณะอย่างที่เห็นดังรูปนี่แหละ แน่ะ! เพื่อนๆก็คงสงสัยเหมือนกันใช่ไหมล่ะค่ะ ว่ามันมีไว้ทำอะไร?

 

         ลุงสวัสดิ์บอกว่า “อันนี้เป็นกรงที่เอาไว้ปล่อยไก่ป่าคืนสู่ธรรมชาติ จำนวน 9 ตัว เมื่อตอนทำพิธีประกาศเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เมื่อปี 2552 ประมาณเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไก่ที่ปล่อยนั้นเป็นไก่ป่า 7 ตัวและไก่ฟ้า 2 ตัว” จากที่ลุงสวัสดิ์พูดมานั้น กล่าวได้ว่าชุมชนบ้านปางจำปีแห่งนี้เพิ่งจะเริ่มมีการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเมื่อไม่นานมานี้นี่เองค่ะ นอกจากนี้ลุงสวัสดิ์ยังบอกต่อว่า ...

“หวังว่าการอนุรักษ์สัตว์ป่าจะทำให้สัตว์ป่าที่หายไปสามารถฟื้นตัวกลับคืนสู่ธรรมชาติที่ปางจำปีแห่งนี้ได้ ก่อนที่สัตว์ป่าเหล่านั้นจะสูญพันธุ์ไป”  

         ถ้าเราสังเกตดีๆรูปที่เพื่อนๆเห็นนี้ คือ ความเชื่ออย่างหนึ่งของชุมชนปางจำปีแห่งนี้ค่ะ ลุงสวัสดิ์บอกว่า “มันคือพิธีกรรมบวชป่า ต้นไม้ที่มีผ้าเหลืองพันไว้นั้น จะถูกผ่านการทำพิธีกรรมมาแล้ว และจะไม่มีใครกล้าทำลาย เหมือนกับคนที่ผ่านการบวชมา” ว้าว! นับได้ว่าเป็นความเชื่อที่ดีอย่างหนึ่งที่จะช่วยป้องกันผู้คนไม่ให้มาตัดไม้ทำลายป่าได้อย่างดีเลยทีเดียว

                และแล้วเราก็เริ่มเดินขึ้นเขาเข้าป่ากัน  นับได้ว่าคงจะเป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินป่ากัน เนื่องจากทางที่เดินเข้าป่านั้นค่อนข้างจะสูงชันเล็กน้อย เราก็เดินกันแบบตะกุกตะกักกันไปมา ลุงสวัสดิ์เห็นแล้วจึงแนะนำพวกเราว่า “การที่จะเดินขึ้นเขานะ เราจะต้องวางเท้าข้างใดข้างหนึ่งของเราให้เป็นหลักมั่นคงเสมอ เมื่อข้างใดข้างหนึ่งมั่นคงแล้วเราจึงจะสามารถเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องกลัวที่จะลื่นล้มเลย  มันก็เหมือนกับเศรษฐกิจ หรือ ครอบครัว หรือบริษัทเนี่ยแหละ มันต้องมีความมั่นคงข้างใดข้างหนึ่งไว้ และค่อยๆก้าวไปเป็นขั้นๆ ”      

...นับได้ว่าเป็นคติที่ดีกับหลายๆคนเลยทีเดียวนะค่ะ

       ถึงแม้เราจะเหนื่อยกันบ้างกับการเดินขึ้นเขา แต่เราก็สนุกกับมันไปด้วย เดินไปเก็บข้อมูลกันไปจนลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียว ... ลุงสวัสดิ์บอกว่า “เมื่อก่อนนี้ที่ป่าแห่งนี้เป็นป่าดงดิบมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นที่นี่ อากาศก็เย็น และเมื่อก่อนก็มีสัตว์ป่ามากมายเลย เป็นที่อยู่ของพวกกวาง เก้ง หมูป่า อีเห็น กระรอก กระแต และก็นกอีกหลากหลายชนิด ถ้าเลยเข้าไปข้างในอีกหน่อยก็มีเสือด้วย o_O ชาวบ้านเรียกกันว่า ห้วยเสือคราง นั่นคือตั้งแต่เมื่อตอนลุงยังเป็นเด็ก ซึ่งตอนนั้นคนยังมาอาศัยอยู่กันน้อย  ปัจจุบันนี้ก็ไม่เห็นแล้วเพราะคนเริ่มเข้ามาที่นี่กันเยอะมากขึ้น เริ่มจากมีถนนตัดผ่านประมาณปี 2519 สมัยนายกฯคึกฤทธิ์ ปราโมช ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามากขึ้น การล่าสัตว์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา และมันก็เป็นวิถีชีวิตของชุมชนที่นี่ด้วย เราจะไม่ไปซื้ออาหารจากข้างนอกเลย สัตว์ป่านี่แหละจะเป็นอาหารหลักของเรา”

                เดินกันไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้สังเกตเห็นเห็ดชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างแปลกตากว่าเห็ดทั่วไปในสายตาของพวกเรา...

 

              มันก็มีลักษณะดังรูปข้างต้นนี่แหละ ลุงสวัสดิ์บอกว่า “มันคือเห็ดกระด้าง มันกินไม่ได้แต่มันมีส่วนช่วยในระบบนิเวศมาก เพราะเวลาฝนตกน้ำก็จะมาขังอยู่ด้านบนของดอกเห็ดจากนั้นเหล่าสัตว์ต่างเช่น กระแต อีเห็น ก็จะมากินน้ำที่ค้างอยู่ที่เห็ดนั้น คนก็กินได้ถ้าขาดน้ำ หรือหิวน้ำมากๆนะ” จะเห็นได้ว่าในป่านั้นมีอะไรมากมายหลายอย่างที่เกื้อกูลในระบบนิเวศกันอยู่

 

          ในภาพที่เราเห็นกันนี้คือรังปลวก ลุงสวัสดิ์บอกว่า “นี่แหละคือด่านแรกของห่วงโซ่อาหาร พวกปลวกเหล่านี้มันจะอยู่ใต้ดิน พอตอนกลางคืนมันก็จะขึ้นมา ในขณะเดียวกันสัตว์ป่าที่ออกหากินในตอนกลางคืนก็จะมากินพวกปลวกเหล่านี้ สัตว์จำพวกตัวนิ่ม อีเห็น และก็พวกนกกลางคืน และสัตว์นักล่าที่ใหญ่กว่าสัตว์เหล่านี้ก็จะมากินพวกสัตว์เหล่านั้นต่ออีกทอดหนึ่ง ส่วนสัตว์จำพวกที่ออกหากินในตอนกลางวัน เช่น ไก่ป่า ก็จะมาคุ้ยหาพวกปลวกที่อยู่ในรังนี้กิน ที่สำคัญรังปลวกที่ขึ้นตามต้นไม้นี้จัดได้ว่าเป็นระบบนิเวศที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับป่าแห่งนี้ เพราะพวกปลวกและแมลงต่างๆจะสามารถช่วยย่อยสลายจุลินทรีย์ได้ ทำให้ป่าแห่งนี้ไม่รกชันจนมากเกินไป”

                                                            

      เอาล่ะ! สำหรับวันนี้เราก็ได้ข้อมูลกันมามากมายคุ้มค่าเหนื่อยกันเสียจริงๆ นอกจากเราจะได้เข้าใจถึงระบบนิเวศและเรียนรู้ถึงวิถีความเป็นไปของสัตว์ ณ บ้านปางจำปีแห่งนี้แล้ว   เรายังได้รู้อีกว่า  "ในโลกนี้ ณ แผ่นดินไทยของเรายังมีป่าและธรรมชาติอีกมากมายที่กำลังรอให้เราได้เข้าไปค้นหามัน ความสวยงามและความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่ในผืนป่าทุกๆที่ เพียงแค่เราหยุดและฟังเสียงธรรมชาติเหล่านั้น แล้วมันจะบอกบางสิ่งบางอย่างกับคุณ เหมือนดังที่ป่าบ้านปางจำปีแห่งนี้บอกกับเรา"

  

                และอย่าลืมติดตามอ่านกันต่อไปในบล็อกหน้านะค่ะ

รับรองสนุกและน่าสนใจแน่นอน สวัสดีค่ะ ^^

 

BY..[ Pattra  Seenin    Code.5214101351 Section.1 ]

หมายเลขบันทึก: 329695เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2010 09:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท