เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา หนูมีอกาสได้กลับบ้านและไปภาวนาที่วัด ที่หลวงพี่ท่านบวช ไปเจอชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งมาจากสิงคโปร์ ตอนแรกหนูก็รู้สึกประทับใจ ที่วัดป่าขนาดนี้ การที่ชาวต่างชาติจะมาที่นี่ได้นี่ต้องมีพลังแห่งศรัทธาอันแรงกล้าจริง ๆ ซึ้งในตอนเช้าหนูได้มีโอกาสขับรถให้ป้าเพ็งนั่ง ท่านเมตตาเล่าให้หนูฟังด้วยใจเบิกบานว่า
“อิฉันมาจากสิงคโปร์ มากราบครูบาอาจารย์ my brother is a monk ในวัดนี้และ my sister เป็นแม่ชี ที่วัดอยู่สกลนคร”
หนูรู้สึกอนุโมทนาสาธุกับความศรัทธาของครอบครัวท่าน ท่านเล่าอีกว่า
“พระอาจารย์เคยพูดว่า อิฉันยังบวชชีไม่ได้ เพราะยังกินปลาร้าไม่เป็น ยังเหม็นปลาร้าอยู่ ไม่รู้จักของอร่อยคนอีสาน มันแซบอีหลี ท่านบอก แต่อิฉันกินไม่เป็น”
พร้อมทำท่าทางปิดจมูก เห็นแล้วทำให้ยิ้มได้ค่ะ
หนูเอ่ยว่า
“แม่ท่านโชคดีจังเลยนะคะ ทั้งลูกสาวและลูกชายบวชให้ท่าน”
ป้าเพ็งส่ายหน้าไหว ๆ พลางยิ้มอย่างเบิกบานแล้วตอบว่า “ไม่ ไม่ she don’t think so”
เห็นท่านเล่าว่าลูกชายท่านมาด้วย หนูจึงถามเหมือนตั้งใจชวนคุยว่า
“ลูกชายท่านมาแบบนี้ไม่คิดอยากบวชบ้างเหรอค่ะ”
ท่านตอบว่า
“โอ้ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนเป็นคริสต์หมด มีป้าเพ็งเป็นพุทธคนเดียว”
หนูรู้สึกประหลาดใจ และทึ่งในความมั่นคงของศรัทธาที่ท่านมีมาก ๆ ค่ะ
ท่านพูดภาษาไทยได้คล่อง ท่านเล่าว่า ท่านเรียนภาษาไทยที่ประเทศของท่านด้วย
เห็นแรงศัรทธาที่มีของป้าเพ็ง เหมือนหนูได้กำลังใจท่านมีสิ่งที่ไม่เอื้อต่อท่านมากมายแต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อหรือสั่นคลอน ท่านเอ่ยกับหนูว่า
“หนูรู้ไหม หนูเป็นคนที่โชคดีมากที่เป็นคนที่นี่ และเป็นคนไทย”
หนูกลับมาทบทวนศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนาในตนเอง อืมหนูยังมีน้อยอยู่ ต้องสั่งสมมากกว่านี้ เห็นได้ชัดเจนว่าหนูยังสละตนเพื่อพระพุทธศาสนาไม่พอ ความยึดมั่นถือมั่นในตนเองยังมากอยู่ หนูประทับใจในท่านที่กล้าพาตนเองดำเนินในวิถีที่แตกจากอย่างเชื่อมั่นและศรัทธา แม้หนูจะรู้สึกว่าหนูโชคดีที่เกิดในผืนแผ่นดินอันร่มเย็นนี้ แต่เมื่อท่านเอ่ยปากเช่นนี้ยิ่งทำให้หนูรู้สึกว่า "ใช่ หนูอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นต้องเร่งภาวนา"
ขอบพระคุณนะคะที่เข้ามาให้หนูได้เรียนรู้
ไม่มีความเห็น