ดูจิต ภาค ๒


ทำความสะอาดตัวผู้รู้ ก่อนไปดูจิต
  • บริบทแวดล้อมในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเอื้อให้เราหันมาศึกษาธรรมะสักเท่าไร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นำความก้าวหน้าและความสะดวกสู่วิถีชีวิตของเราอย่างเป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์มากขึ้นตลอดเวลา
  • กระผมเองก็เกิดมาในยุคที่วิทยาศาสตร์เข้มแข็งบดบังรัศมีของศาสนา คล้าย ๆ กับกบกินตะวันทำนองนั้น
  • ทำให้วิถีชีวิตการพัฒนาตนเองเป็นแบบ Out Side In คือ เรียนแต่สิ่งนอกตัวเพื่อพัฒนาตนเองเป็นหลัก ยิ่งเรียนมากก็เก่งมากแบบโลก ๆ แต่ก็ไม่เคยพ้นทุกข์ได้เลย

 

  • จนเวลาผ่านมาได้ฝึกพัฒนาตนเองจากด้านใน ถึงทำให้ทราบว่า เหรียญอีกด้านหนึ่งนั้น หรือแสงตะวันหลังกบกินตะวันนั้นยิ่งใหญ่นัก
  • ดั่งที่ได้กล่าวโทษว่า วิถีแห่งปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการให้เดินบนเส้นทางธรรมนักนั้น จึงต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการอ่านการฟังพระธรรมคำสอนของพระอาจารย์บนอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ทำให้เรียนรู้แบบผิด ๆ ถูก ๆ ไปตามบุญวาสนา

 

  • ดูจิต ภาคแรก นั้น ผมก็ดูแบบมั่ว ๆ ไม่ทราบว่า จิต คืออะไรกันแน่ ดูอยู่หลายปี ทำให้ผมเข้าใจว่า การดูจิต คือ การตามดูกาย ดูใจ เพื่อให้รู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของกายของใจว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีความเป็นตัวเป็นตนสัตว์บุคคลเราเขา และจากการฝึกดูจิตมาเรื่อย ๆ พบว่า การเข้าใจหรือการเห็นของเรานั้นมีหลายระดับ ยิ่งดูไป ดูไป การจะให้เห็น "อนัตตา" นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้เวลา ฝึกฝน ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ
  • แรก ๆ นั้นจะเป็นการเพ่งและใช้สมองมองหาธรรมมาขจัดปัดเป่าจิตที่มันฟุ้งซ่านให้สงบลง
  • เวลาต่อมา ไม่เน้นที่การขจัดปัดเป่าแต่เน้นที่การตามดูเฉย ๆ เพื่อให้รู้สภาพความเป็นจริงว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างไร ?

 

  • และเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง เกิดความเข้าใจใหม่ น่าสนใจยิ่ง จึงตั้งชื่อว่า ดูจิต ภาคสอง ขอรับ
  • ดูจิต ภาคสอง นี้ จะต่างจากภาคแรก คือ เราไม่ได้ทำความสะอาดจิตก่อนแล้วเราก็เอาจิตที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ไปตามดูจิต ปัญหาก็คือ ถ้าจิตเราสะอาดในการดูช่วงนั้นก็ดีหน่อย แต่ถ้าช่วงไหนจิตเราสกปรกวุ่นวายแล้วเราไปตามดูความเป็นของจิต คราวนี้ล่ะขอรับ เหมือนเอาน้ำไม่สะอาด หรือ ผ้าเปื้อน ๆ ไปทำความสะอาดรถยังไงยังงั้นเลยขอรับ
  • เคล็ดวิชาของการดูจิต ภาคสองนี่ก็คือ ทำความสะอาดตัวผู้รู้ ก่อนไปดูจิต ทำนองนั้นขอรับ
  • ในบันทึกต่อไป จะมาดูกันว่า ยังไม่บรรลุอะไร แล้วจะไปทำความสะอาดจิตผู้รู้ก่อนดูได้อย่างไร ?

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ดูจิต#สมาธิ
หมายเลขบันทึก: 328822เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2010 22:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

 *   อาจารย์ใหญ่ในเรื่องการดูจิตของผมก็คือภรรยาผมเองครับ

  *  ภรรยาผมจะบ่นเก่ง  เห็นอะไรไม่เป็นที่เป็นทางในบ้านก็จะบ่นไปหมด

  *  เมื่อก่อนผมชอบ "สวน" ครับ  เดี๋ยวนี้ ลองเอาคำบ่นของภรรยามาเป็นอาจารย์ใหญ่ในการดูจิต

   *  บ่นมาแต่ละที่  จะเห็น "จิตเกิด" ชัดมากครับ

   *  เมื่อรู้ว่าจิตเกิด  ก็พยายามมองให้ชัดว่าจิตเกิด   โดยไม่ไปข่ม  หรือ  ไม่ไปคิดต่อใดๆ

   *  เพียงแค่มองเห็นให้ชัดๆ โดยไม่ข่ม  ไม่คิด  ไม่ติดใจ     จิตจะค่อยๆหายไปครับ

      เป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งครับ  ส่วนในที่ทำงาน ผมตามดูจิตไม่ค่อยทันครับ

 

เรียน ท่านรองฯ

  • ขอบพระคุณมากขอรับที่กรุณานำประสบการณ์มา ลปรร.
  • ผมเข้าใจว่า เราจะมี "สัญญา" หรือความจำได้หมายรู้กับคนใกล้ตัวเราค่อนข้างมาก จึงทำให้เห็นจิตชัดในกรณีที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว นั่นคือ สัญญา น่าจะก่อเกิด สังขาร หรือการปรุงแต่งได้มากทีเดียว จึงทำให้เหมาะที่จะนำมาใช้ในการฝึกดูจิตขอรับ

 

สวัสดีค่ะ จิตของมนุษย์นั่นยากแท้หยั่งถึงค่ะ..แหมฟังท่านคุยกันเรื่องจิตของคุณภรรยา  ก็นึกถึงตัวเอง..เราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน..ขำ ขำ ดีน่ะค่ะ..จริงค่ะ ภรรยาชอบบ่น แต่ก็บ่นไปทำไปใช่ใหมค่ะ..ถึงจะบ่นอย่างไร แต่ก็ทำให้ทุกอย่าง..อิอิ..เข้าข้าง..

ขอให้มีความสุขกับการดูจิตน่ะค่ะ

 

สวัสดีครับ ท่าน New.ครูบันเทิง

 

  • ฟังท่านรองฯ พูดถึงภรรยาแล้ว ผมเข้าใจว่า ท่านยกให้เป็นครูฝึกจิตฝึกใจเลยนะครับ
  • ผู้รู้ท่านว่า...
    ทำบุญร่วมชาติ 100 ชาติ ถึงได้เกิดมาพบกันขอรับ
    ทำบุญร่วมชาติ 500 ชาติ ถึงได้เกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันขอรับ
    ทำบุญร่วมชาติ 1,000 ชาติ ถึงได้เกิดเป็นสามีภรรยากันขอรับ

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท