....คติธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ.....
การตำหนิติเตียนผู้อื่นถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง
ให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น
นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย
จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่น โดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษ และ บาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย
ความทุกข์เป็นของน่าเกลียด น่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้ว ก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล
ศีลก็อยู่ที่ตรงนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่ดี ก็ไม่เรียกว่า คน
มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ
ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติ แนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหา หลงขอ
คนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ
กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดา มารดา พร้อมบริบูรณ์แล้ว
จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจ กล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่ง บริบูรณ์
สมบูรณ์ ไม่อด ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลให้สมบูรณ์
จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวร หมดภัย
ที่มา : ถอดความจากไฟล์เสียงธรรม