เทอมหน้าฉันจะเรียนแผนวิทย์-คณิตดีกว่า ฉันอยากจะเป็นหมอ......เหรอ...แต่ฉันชอบภาษามากเลย จบไปอยากทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย
ขณะที่ลีบาเดินออกมาจากห้องเรียนเขาได้ยินมีคนพูดคุยกันเรื่องเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมปลายที่จะถึงในสองเดือนข้างหน้าตามที่โรเรียนได้เปิดสอนแผนวิทย์ได้ไม่นานนี่เอง ซึ่งลีบาเองเคยวาดความฝันของตัวเองทั้งๆที่เป็นความฝันลมๆแล้งเขาเองยังไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นไปได้แค่ไหน
เฮ้ย ลีบา สอบเสร็จยังล่ะ
ขณะที่ลีบายืนอยู่ด้วยความคิดที่มากมายของเขาก็มีเสียงเรียกจนต้องรีบหันไปมองต้นเสียง เป็นอาลอเพื่อนต่างห้องนี่เอง
เอ่อๆพึ่งเสร็จเนี่ยะแหละ นายล่ะ
สอบเสร็จแล้ว เอ่อที่ว่าไม่เรียนต่อน่ะ ยังเหมือนเดินอยู่หรือป่าวล่ะ
ลีบาเงียบลงอีกครั้งด้วยสายตาที่บ่งบอกความลังเลของการตัดสินใจอยู่นาน กับคำถามที่ซึ่งเขาเองถามตัวเองมาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลาที่ผ่านมา
คงไม่เรียนต่อแล้วล่ะ....
อย่าคิดมากเลยนะเพื่อน เราเข้าใจนาย เออ แล้วออกไปจะไปทำอะไรล่ะ
อาลอเข้าใจปัญหาของที่กำลังเผชิญ หลายครั้งหลายหนที่ก่อนหน้าที่ผ่านมาลีบามักจะเล่าปัญหาของเขาให้ฟังบ่อยครั้ง ถึงความยากจนของครอบครัวที่มีแต่แม่คอยเลี้ยงทั้งครอบครัวหลังจากที่พ่อเสียงชีวิตด้วยโรค เขามักบอกถึงปัญหาที่ตัวของเขาเองและทั้งครอบครัวที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้เรียนต่อ ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เขามักจะบอกว่าถึงเรียนต่อก็แค่นั้นแหละ เราไม่มีบัตรนี่ จบไปใครกล้าเอาเราไปทำงานล่ะ แม้แต่ออกนอกพื้นที่ยังไม่ได้เลย ลีบาเคยคิดว่าทำไมเขาเป็นผู้ที่ต้องโชคร้าย ทั้งที่เกิดและก็เติบโตมาเหมือนคงอื่นทั่วไปในประเทศไทย อาลอเข้าใจปัญหาของเพื่อนที่ต่างจากเขาถึงยังมีคนที่ตกอยู่ฐานะนี้มากมายแต่ทุกคนยังต้องอดทนและรอความหวังที่จะจุดประกายให้
ก็ เข้าโรงงาน
ลีบาตอบเหมือนคนไร้ความรู้สึก เฉยชากับปฏิกิริยา
เฮ้ย นายทำงานหนักแบบนั้นไหวหรือ
อาลอถามด้วยความห่วงด้วยสภาพร่างกายและอายุของเขาที่ไม่เหมาะกับงานแบบนั้น
“คงรับมั้ง ก็เห็นเพื่อนๆที่หมู่บ้าน ที่ไม่เคยเรียนเขายังทำได้เลย” ลีบา มักได้ยินเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันในโรงงานอุตสาหกรรมเล่าบ่อยๆว่า ต้องทำงานกับเครื่องจักรกลตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจนดึกบางครั้งก็ไม่ได้หลับได้นอน ไม่มีแม้แต่วันหยุด พอสิ้นเดือนมาเงินเดือนก็ถูกหักโน่นหักนี้จนหมด เงินแทบจะไม่พอใช้ จนคนทำงานร่างกายผอมซูบ ซึ่งเป็นสภาพที่ลีบาพบเห็นบ่อย
“อาลอ กูกลับก่อนนะ”
“ไปซิ เดี้ยวเราไปส่งนายที่หน้าปากซอย”
นั่งคุยกันอยู่นาน เป็นเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ในโรงเรียนหลังสอบเสร็จก่อนบ่ายสามโมงของวันสอบวันสุดท้ายในปลายปีนี้ ลีบา ชวนเพื่อนกลับบ้านพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า เพียงเพราะคำว่าชีวิตแค่นั้นเอง
โรงเรียนที่เคยมีเสียงหัวเราะ เหมือนเสียงดนตรีที่ไพเราะทำให้หัวใจแกร่งที่จะสู้ ตอนนี้นะหรือมีเพียงความเวิ้งว้างของสายลมที่พัดมากระทบกับใบหน้าเบาๆ จนใบไม้ร่วงลงตามทิศทางของสายลม
“กลับแล้วเหรอลูก”
“ครับแม่”
ลีบาตอบรับแม่ด้วยภาษาอาข่าที่คุ้นเคย แม่กำลังจดจ่อกับการล้างจานหน้าบ้าน บ้านที่ดูเหมือนจะไม่เป็นบ้านอยู่แล้ว ครั้งไหนที่ลมแรงบ้านนี้ก็จะโยกตามลม หรือคราใดที่ฝนมาเยือน เราทั้งครอบครัวก็ต้องแข่งกันอุดรูตามช่องที่ฝนเทเข้ามา เฮ้อ บางครั้งก็ตลกชีวิตตัวเองเหมือนกัน
“ลีปือกับลีจือยังไม่กลับหรือแม่”
“กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าจะไปเล่นกับเพื่อนน่ะ”
“เอ่อ ลีบา เรียนจบแล้วใช่ไหมลูก”
แม่ถามพร้อมกับหลบตาลูกขณะที่กำลังปักผ้าอยู่ข้างกองไฟ
ลีบาพูดพร้อมกับถอนหายใจเบาที่สุด เพราะลีบารู้ดีในความหมายนั้นโดยที่แม่ไม่ต้องย้ำอีกครั้ง
“พรุ่งนี้ อาจู เขาจะลงไปได้ ลูกก็ลงกับเขานะ”
ลีบาชะงักเล็กน้อยเมื่อประโยคนี้หลุดออกจากปากแม่ ลีบาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ที่เขาประกอบกับมือเอง อยากตะโกนออกมาดังๆเหลือเกิน เมื่อไหร่นะที่ความอึดอัดในใจจะหายไปเสียที
“ลีบา ลูกกินข้าวแล้วลูก”
เสียงแม่วันนี้ดูเบาผิดปกติเหมือนเหนื่อยหล้ามาเป็นแรมปี ไม่ต่างอะไรจากเขาตอนนี้เลย
“พี่ พี่ แม่เรียกกินข้าวแล้ว”
“อือ เดี๋ยวพี่ไปแล้ว”
อาหารมื้อสุดท้าย สายลมยามค่ำคืนในบ้านที่จะพัดมาผ่านเขาเป็นวันสุดท้าย จิ้งหรีดเรไร ยังร้องล่ำลา
แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่จะได้ฟังเสียงมันอีก อยากอยู่กับมันต่ออีกซักหน่อย แต่รู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ แล้วฉันจะกลับมาเยือนที่นี้ที่ๆฉันรักมากที่สุดอย่างแน่นอน สัญญา ฉันสัญญา