ถ้าคุณเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีแล้วหมอ บอกว่าคุณป่วยเป็นมะเร็ง คุณคงช็อก ว่าทำไมเราต้องเป็นโรคนี้ด้วย ถ้าให้เลือกได้คงไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้แน่ แต่ถ้าคุณโชคร้ายเป็น “มะเร็ง” แล้ว มีวิธีไหนในการรักษาและการรักษาต้องใช้เวลานานเท่าไรทรมานแค่ไหนจะดูแลตัวเองอย่างไร ระหว่างการรักษาและจะทำตัวอย่างไรหลังการรักษาแล้วไปนานเท่าไร ที่จะไม่ให้ “มะเร็ง” กลับมาเยี่ยมเยียนคุณอีก คำถามต่างๆ เหล่านี้คงทำให้คุณสับสนวุ่นว่ายใจไม่น้อย
มะเร็ง คืออะไร
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
เท่าที่มีรายงานไว้ใน ขณะนี้ มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด มะเร็งแต่ละชนิดจะมีการ ดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน
ดังนั้น การรักษามะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย และความเหมาะสม ของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและ การดำเนินโรคของมะเร็งด้วย เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งผิวหนัง รักษาง่ายกว่า มะเร็งปอด มะเร็งสมอง เป็นต้น
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็ง
1.
ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย
2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ
ที่เป็นสัญญาณเตือน ว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง
หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีสัญญาณ เหล่านี้
เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง
หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส
4. มีอาการที่บ่งบอกว่า มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก
ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็ง
ชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่ม
นี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน
สัญญาณอันตราย 8 ประการ
ที่ทุกคนควรจะจำไว้เพื่อสุขภาพที่ดี ได้แก่
1
มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น
ถ่ายอุจจาระ เป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
2 กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด
แน่นท้องเป็นเวลานาน
3 มีอาการเสียงแหบ และไอเรื้อรัง
4 มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น
5 แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย
6 มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย
7 มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
8 หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล
เมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณเป็นมะเร็งแล้ว คุณต้องคิดต่อไปว่าจะทำการรักษาอย่างไร ทำให้หายจากโรคมะเร็ง โดยทั่วไปถ้าคุณเข้ารับการรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันใน โรงพยาบาล แพทย์จะแนะนำให้คุณทำการผ่าตัดเอาเซลล์มะเร็งออกจากอวัยวะที่เป็น(รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง) และอาจทำการรักษาเพิ่มเติมโดยการใช้ยาเคมี (เป็นการรักษาหรือทำลายเซลล์มะเร็งทั้งที่ต้นตอและที่กระจาย ไปตามทางเดินน้ำเหลือง กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นของร่างกายเป็นการรักษามะเร็งแบบทั้งตัวของผู้ป่วยมะเร็งมีทั้งการรับประทานยาและการฉีดยาทางเส้นเลือดดำหรือแดง) การฉายแสง(บริเวณที่มีเซลล์มะเร็งอยู่เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่เช่นเดียวกับการผ่าตัด) ร่วมด้วยขึ้นอยู่กับผู้ป่วยตามระยะของมะเร็ง (ระยะ 1 - 4) ที่เป็น
นอกจากวิธีรักษาทั้งสามวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีการรักษาที่ผู้ป่วยมะเร็งมีทางเลือกอื่นอีกที่นิยมกันได้แก่การเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพื่อที่จะได้กำจัดเซลล์มะเร็งให้หมดไปจากร่างกายและผู้ป่วยก็จะหายจากโรคมะเร็ง ซึ่งวิธีการรักษาแบบนี้เริ่มเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทยมากขึ้น
การเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย อาหารเป็นเรื่องแรกที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงผู้ป่วยมะเร็งควรกินข้าวกล้อง ผักสดและผลไม้สดเป็นจำนวนมาก ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ การออกกำลังกาย การสดมนต์ การทำสมาธิ การฝีกหายใจ การคิดในแง่บวก การอาบน้ำร้อน น้ำเย็น การอาบแดดในช่วงเช้า
มะเร็งทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
ความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็ง เพราะความเครียดทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ในร่างกายเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ทำให้ภูมิต้านทานภายในตัวลดลง ผู้เป็นมะเร็งต้องปรับตัวปรับใจ ห้ามเครียด ถ้าจะต่อสู้กับมะเร็ง ต้องสู้ด้วยจิต ด้วยใจ ฝึกจิตให้ได้ต้องคิดในทางบวก อะไรดีหมดทุกอย่าง ถ้าเราต้องการหายจากมะเร็งให้ได้ นิสัยต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด ถ้าเราสามารถทำให้จิตของเรามองโลกในทางบวก ทำให้จิตมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อม พิทูอิตารีให้หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา(เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย) ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอลให้ขับแต่ฮอร์โมนดีๆออกมาเพื่อไปกระตุ้นให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ดี จนกระทั้งต่อมต่างๆที่ผลิตภูมิต้านทานหรือเม็ดเลือดขาวทำงานได้เต็มที่ ทุกอย่างเริ่มที่จิตเมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้ สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมา แต่ถ้าจิตมองโลกในแง่ลบ สมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนอะดรินาลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา เมื่อร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันหรือมีแต่อ่อนแอ ร่างกายจึงล้มเหลวในการกำจัดเซลล์มะเร็งทิ้ง
ระบบภูมิคุ้มกันมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามาก ถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดูพวกเป็นโรคเอดส์ที่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้เป็นบกพร่องเนื่องจากไวรัสเอชไอวี ทำให้เสียชีวิตปีละเป็นจำนวนมาก
การรักษาโรคมะเร็งบางชนิด อาจใช้วิธีผ่าตัดเอาเซลล์มะเร็งออกแต่เพียงอย่างเดียว ในบางระยะของโรคอาจใช้การรักษาเพียงเคมีบำบัดวิธีเดียวหรือร่วมกับการผ่าตัด หรือทั้งสามวิธีร่วมกันดือการผ่าตัด การฉายแสงและเคมีบำบัด
การใช้เคมีบำบัดมีผลต่อการกำจัดเซลล์มะเร็งแล้วยังมีผลต่อเซลล์ปรกติด้วยเพื่อลดผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยมะเร็งจากการรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัดในปริมาณสูง จึงมีการให้ยาหลายๆ ครั้ง โดยทั่วไปเรียกว่า คอร์ส ในคอร์สหนึ่งอาจให้ยา 4 ถึง 6 ครั้ง แต่ละครั้งอาจห่างกัน 3 ถึง 4 สัปดาห์เพื่อให้เซลล์ปรกติมีการฟื้นตัวก่อนให้ยาในครั้งต่อไป การจะใช้ยาตัวไหน วิธีไหน ปริมาณเท่าไรหรือจำนวนกี่คอร์ส ขึ้นอยู่กับ ชนิดของมะเร็ง ระยะของโรคมะเร็ง สภาพร่างกายของผู้ป่วย อายุของผู้ป่วย การตอบสนองต่อยาเคมีของผู้ป่วยแต่ละคนจะแตกต่างกันได้
การได้รับยาเคมีบำบัดและการรักษาด้วยการฉายแสง จะมีผลข้างเคียงหรือแทรกซ้อนจากการที่เซลล์ปกติได้รับผลกระทบแบ่งออกเป็น 2 ระยะได้แก่
1. ระยะเฉียบพลันคืออยู่ในช่วงระหว่างการรักษา(ได้รับยาเคมีบำบัดและการฉายแสง)
2. ระยะยาวหรือรื้อรัง เมื่อครบการรักษาแล้วไปตลอดชีวิตของผู้ป่วย
ผลข้างเคียงระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายรังสีระยะเฉียบพลัน
จะเห็นว่าผลข้างเคียงระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสงในระหว่างการรักษาโรคมะเร็งมีค่อนข้างมาก ผู้ป่วยบางคนอาจมีผลข้างเคียงน้อยแต่บางคนอาจได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก บางคนอาจต้องหยุดการให้ยาระหว่างการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดและการฉายแสง
ผู้ป่วยโรคมะเร็งในระหว่างการรักษา(ระยะเฉียบพลัน) และระหว่างการดูแลรักษาเมื่อครบการรักษาแล้ว(ระยะยาวหรือรื้อรัง) จะมีอาการข้างเคียงซึ่งจะมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ผู้ป่วยแต่ละคน การจะลดผลกระทบจากอาการดังกล่าวให้น้อยลงจนผู้ป่วยมีกำลังใจในการจะรักษาต่อไปและมีชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยการดูแลตัวเองแบบ Self-Management
อบรมฟรี กิจกรรมบำบัดจิตสังคมกับการจัดการมะเร็ง 17 ก.ย. 54
คลิกอ่านประชาสัมพันธ์ที่ http://www.gotoknow.org/classified/ads/1623