ทวารวดีอารยธรรมแห่งพุทธศาสนา


อิทธิพลของ ศิลปทวารวดีได้แผ่ขยายไปยังดินแดนต่าง ๆของในประเทศไทย

 

รัฐทวารวดี

               ในระยะพุทธศตวรรษที่   12   ดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมของวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง วัฒนธรรมสมัยทวารวดีได้ชื่อตามที่ปรากฏในเหรียญเงิน  2 เหรียญ ซึ่งพบที่ตำบลพระประโทน จังหวัดนครปฐม มีข้อความว่า “ ศรีทวารวดี ศวรบุญยะ”  ซึ่งแปลว่า             “บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี “ จากศิลาจารึกทวารวดีซึ่งพบที่ศาลสูงจังหวัดลพบุรี และอีกหลักหนึ่งที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งข้อความในจารึกเป็นภาษามอญ ทำให้เชื่อกันว่ารัฐทวารวดีเป็นรัฐของชนชาติมอญ อักษรมอญเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดยุคประวัติศาสตร์ไทยจากการขุดค้นจารึกภาษามอญ อายุประมาณ 1,000  ปี ที่นครปฐมเป็นหลักในการแบ่งมิติเวลายุคประวัติศาสตร์และยุคก่อนประวัติศาสตร์ของไทย หากตั้งคำถามว่าอักษรในยุคนี้ทำไมต้องใช้อักษรมอญ สันนิษฐานว่าเผ่าอื่นยังไม่รู้จักคิดอักษรของตนเองหรือมีแต่ไม่แพร่หลาย และไม่ได้บันทึกเป็นภาษาทางศาสนาหรือพิธีกรรมอันเป็นสิ่งแสดงถึงความศักดิ์สิทธิและความขลัง  (ปัจจุบันเราก็ยังเชื่อว่า ภาษาขอมเป็นภาษาศักดิ์สิทธิและขลัง) เผ่าไท-ลาว นั้นได้ประยุกต์ภาษามอญและขอมมาเป็นอักษรของตนเอง และน่าจะมีอักษรไทใช้ก่อนสุโขทัยเล็กน้อย และเริ่มชัดเจนในสมัยพ่อขุนรามคำแหง      (จารึกหลักที่หนึ่งสุโขทัย จารึกขึ้นในปี พ.ศ.  1826 ) 

            อาจกล่าวได้ว่าภาษาและวัฒนธรรมทวารวดีได้แสดงให้เห็นอิทธิพลของวัฒนธรรมมอญในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางและได้ขยายไปสู่ดินแดนต่าง ๆ ของประเทศไทย 

                หลักฐานสมัยทวารดีที่พบส่วนใหญ่เป็นศิลาจารึกที่เกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไม่มีข้อความกล่าวถึงเรื่องราวทางราชสำนักหรือเรื่องอื่น ๆ ทำให้ความรู้เกี่ยวกับรัฐนี้ไม่ชัดเจนปรากฏเฉพาะด้านศิลปกรรมทางวัฒนธรรมแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของรัฐทวารวดี

                วัฒนธรรมทวารวดีแบ่งออกเป็น  3  กลุ่มใหญ่คือ

                1.วัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลาง   ซากเมืองโบราณที่พบ  ได้แก่ เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองนครชัยศรี และเมืองกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เมืองมโนรมย์   จังหวัดชัยนาท เมืองจันเสนอำเภอตาคลี  จังหวัดนครสวรรค์ เมืองพระรถ จังหวัดชลบุรี เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี  เมืองศรีเทพ  จังหวัดเพชรบูรณ์   เป็นต้น  รัฐทวารวดีทางภาคกลางแต่เดิมเข้าใจว่าคงมีศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม แต่เมื่อมีการขุดค้นเมืองอู่ทองซึ่งมีซากเมืองโบราณใหญ่โตทำให้เชื่อว่าเมืองอู่ทองอาจจะเป็นศูนย์กลางของรัฐทวารวดีทางภาคกลางมากกว่าเมืองนครปฐม

                2.วัฒนธรรมทวารวดีทางภาคเหนือ  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองหริกุญไชย  ปัจจุบันคือจังหวัดลำพูน ในหนังสือจามเทวีวงศ์  ได้กล่าวว่า  ฤาษีเป็นผู้สร้างเมืองหริกุญไชยขึ้น  เมื่อสร้างเสร็จได้ส่งทูตไปอัญเชิญพระนางจามเทวีราชธิดาของพระราชาแห่งลวปุระขึ้นมาปกครอง ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นมเหสีของเจ้าเมืองมอญและทรงตั้งครรถ์ได้  3  ดือน เสด็จไปครองหริกุญชัย พระนางจามเทวีทรงมีโอรส  2  องค์ องค์ใหญ่พระนามว่า  มหันตยศ  ต่อมาได้ครอบครองราชสมบัติที่เมืองหริกุญไชย องค์เล็กพระนามว่า อนันตยศ พระนางจามเทวีได้ไปสร้างเมืองเขลางค์นครให้ครอบครอง  ราชวงศ์ของพระนางจามเทวีปกครองรัฐหริกุญไชยสืบต่อมาตามลำดับ จนถึงราว พ.ศ.1590 เรื่องราวของพระนางจามเทวีแม้เป็นเพียงตำนาน แต่ก็เป็นหลักฐานที่ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐทวารวดีทางภาคกลางและรัฐหริกุญไชย หลักฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ศิลาจารึกที่พบตามวัด ต่าง ๆ ในลำพูนซึ่งพบถึง  7  หลักจารึกด้วยภาษามอญ  ศิลปกรรมของหริกุญชัยที่สำคัญได้แก่ สถูปพระธาตุหริกุญไชยองค์เดิม  พระสุวรรณเจดีย์ และเจดีย์เหลี่ยมที่วัดกู่กุด ใบเสมาขนาดใหญ่เป็นต้น

               3.วัฒนธรรมทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  

                                ซากเมืองโบราณแบบทวารวดีที่พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ได้แก่เมืองเสมา  จังหวัดนครราชสีมา เมืองฟ้าแดดสูงยาง   จังหวัดกาฬสินธุ์  เมืองหนองหาน    อำเภอกุมภวาปี   จังหวัดอุดรธานี   บริเวณบ้านดอนแก้ว  อำเภอกุมภวาปี พบเสมาหินสมัยทวารวดี  อำเภอบ้านผือจังหวัดอุดรธานีพบ พระพุทธรูปที่แกะสลักหินใต้เพิงผา  เสมาแสดงสถานที่ศักดิ์สิทธิ  เมืองโบราณบ้านตาดทอง จังหวัดยโสธร เป็นต้น  

                            เมืองเหล่านี้ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่ชัด แต่มีตำนานอุรังคธาตุ กล่าวถึงกษัตริย์    4  เมือง คือ  พญาจุลณีพรหมทัต  ผู้ครองแคว้นบริเวณหลวงพระบาง  สิบสองจุไทย   พญาคำแดง ผู้ครองแคว้นหนองหานน้อย พญานันทเสน ผู้ครองแคว้นศรีโคตรบูรณ์      พญาอินทปัฐนคร  ผู้ครองแคว้นเขมรโบราณ      ได้มาร่วมกันสร้างพระธาตุพนม ประกอบด้วย  เพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุ  คือกระดูกหน้าอกของพระพุทธเจ้าที่พระมหากัสสปเถระนำมาจากเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย บริเวณที่สร้างพระธาตุพนม  คือ ภูกำพร้าในเขตนครโคตรบูรณ์

                โบราณสถานสมัยทวารวดีทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากซากเมืองโบราณที่ใหญ่โต คือ  ที่เมืองฟ้าแดดสูงยาง   และที่เมืองอื่น ๆ  แล้วโบราณสถานที่สำคัญคือ  พระธาตุพนมองค์เดิม  พระธาตุเชิงชุมองค์เดิม ( องค์ปัจุบันได้สร้างศิลปแบบล้านช้างครอบทับไว้ )  พุทธบาทบัวบกและหอนางอุสา ที่อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกำลังจดทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นต้น

                 เมื่อพระธาตุพนมโค่นล้มลง ทำให้สามารถพบลักษณะพระธาตุพนมองค์เดิม  ซึ่งสร้างด้วยอิฐก้อนใหญ่และอิฐแต่ละก้อนได้สลักภาพเอาไว้ด้วย ด้านศิลปวัตถุที่สำคัญ  คือ การสร้างพระพุทธรูปและใบเสมาของรัฐโคตรบูร มีลักษณะพิเศษนอกจากจะใหญ่โตแล้วยังนิยมแกะสลักเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ทำให้ได้หลักฐานเพิ่มเติมว่าพระธาตุพนมแต่เดิมไม่ได้สร้างตามลักษณะศิลปะล้านช้าง  หากแต่เป็นศิลปสมัยศรีโคตรบูรณ์และมีลักษณะคล้ายกับศิลปของจามเข้ามาผสมผสาน

                 เท่าที่ผู้เขียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้ หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีน้อยมากอยากให้มีผู้ค้นคว้าที่มีความรู้ทางโบราณคดีช่วยเขียนโดยละเอียดน่าอ่านสักเล่ม ผู้เขียนได้นำนักเรียนไปทัศนศึกษาที่อุทยานประวัติศาสตร์พุทธบาทบัวบก ได้ไปสอบหาหนังสือกับเจ้าหน้าที่อุทยานประวัติศาสตร์ มีแต่ศิลปะทวารวดีที่เน้นภาคอื่นเป็นหลัก อย่างไรก็ดีการจัดวิทยากรและสถานที่ของอุทยานแห่งนี้ ทำได้ดีและน่าทึ่งมาก

                ประการสุดท้ายขอเชิญชวนท่านผู้อ่านไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีที่ได้รับงบประมาณปรับปรุงใหม่ ซึ่งดูเป็นวิชาการและทันสมัยมากขึ้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

 

อุทยานประวัติศาสตร์พุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ  จังหวัดอุดรธานี  มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย

                                                                                  

                                                                                     สันติสุข

                                                                             ๑  มกราคม  ๒๕๕๓

บทความนี้ ผู้เขียนประยุกต์จากใบความรู้ที่ใช้สอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4  ปีการศึกษา  2546

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 324383เขียนเมื่อ 1 มกราคม 2010 01:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ปรบมือให้กับผู้ที่สร้างสรรค์ความรู้แก่ลูกไทยทุกคน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท