Quality of teachers and Educators and their life.
คุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษากับการดำเนินชีวิต
ดร.อำนาจ สุนทรธรรม
ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู สกสค. ศธ.
กระแสโลกาภิวัตน์ (Globallization) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์โลก เป็นผลให้เกิดองค์การรูปแบบใหม่ (New Organization) ที่เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ซึ่งนำไปสู่องค์การความรู้ (Knowledge Organization) และองค์การนวัตกรรม (Innovation Organization) ซึ่งองค์การรูปแบบใหม่ดังกล่าวจะเป็นองค์การที่สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในศตวรรษใหม่ ( New Century) เป็นองค์การที่เน้นความรู้ ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงและคุณภาพของคนในองค์การทำให้องค์การมีความสามารถในการสร้างคนและการแข่งขันสูงขึ้น คนในองค์การได้เรียนรู้ไปพร้อมกับความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ (Peter M.Drueker,2004) และพบว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งโดยถือเป็นเกณฑ์หนึ่งในกลุ่มดัชนี “กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน” ในการจัดอันดับความสามารถการแข่งขันของประเทศ ของ International Institute for Management Development หรือ IMD และ World Economic Forum หรือ WEF การศึกษาเป็นเกณฑ์ที่มีความสำคัญยิ่ง หลายองค์การหลายประเทศจึงให้ความสนใจในกระบวนการศึกษา โดยการเร่งปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปการเรียนรู้หรือปฏิรูปการเรียนการสอน ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพครูเป็นลำดับแรก โดยเชื่อว่าหากครูมีคุณภาพแล้ว กระบวนการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะเกิดคุณภาพ และจะนำไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การความรู้และองค์การนวัตกรรมในที่สุด
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับและเข้าใจตรงกันว่า “คุณภาพการเรียนการสอนของครูหรือคุณภาพ การเรียนรู้ของผู้เรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพของครูโดยตรง ประเทศต่างๆจึงให้ความสนใจที่จะพัฒนาคุณภาพการผลิตและพัฒนาครูกันอย่างจริงจัง เพื่อหวังผลสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปการเรียนของผู้เรียน เพื่อหวังผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่มีอันดับที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนถึงสมรรถนะของประเทศในเวทีโลกดังกล่าวแล้วในตอนต้น สำหรับประเทศไทยก็ตระหนักและให้ความสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาและปฏิรูปการเรียนรู้เป็นอย่างมาก โดยการปฏิรูปการศึกษาในยุคโลกาภิวัตน์รอบแรก (First round) เมื่อสิบปีที่แล้ว ด้วยการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายทางการศึกษาฉบับแรกของประเทศ และมีกระบวนการดำเนินการ ต่าง ๆ อีกมากมาย และพบว่าการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกของประเทศไทยยังไม่ถึงจุดประสงค์หรือเป้าหมายที่เป็นที่น่าพอใจ อันเนื่องมาจากกระแสโลกาภิวัตน์การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการปฏิรูปการศึกษารอบที่สอง (Secound round) จึงประกาศขึ้นในปี พ.ศ. 2552 โดยให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนฟรี 15 ปี เน้นการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและแข่งขันได้ โดยมีจุดเน้น (Focus) ที่การผลิตและพัฒนาครูให้มีคุณภาพเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ต้องการสร้างคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ
จากการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมการปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกเมื่อปี พ.ศ. 2542 พบว่าคุณภาพการเรียนการสอนของครูหรือคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษา” โดยตรง และยังพบต่อไปว่า “คุณภาพของตัวครูและบุคลาการทางการศึกษา” มีความสัมพันธ์อย่างสูงยิ่งกับ “กระบวนการผลิต พัฒนา การมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินชีวิตของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งได้แก่ การดำเนินชีวิตในสังคมเศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยียุคโลกาภิวัตน์” ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า “คุณภาพการเรียนการสอนของครูหรือคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน” ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปการศึกษานั้น จะขึ้นอยู่กับ “คุณภาพของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการดำเนินชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษา” นั่นเอง และในการศึกษาวิจัยยังพบว่าผลกระทบที่รุนแรงต่อคุณภาพของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษาและการดำเนินชีวิตของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษาก็คือกระแสโลกาภิวัตน์ด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี
Thomas Friedman กล่าวไว้ในหนังสือ “The World is Flat” ว่า กระแสโลกาภิวัตน์เป็นกระแสที่ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นมากกว่า 500 ปีมาแล้ว ในทำนองเดียวกับ “Window 1.0, 2.0 และ 3.0 ในส่วนของกระแสโลกาภิวัตน์ก็มีกระแสโลกาภิวัตน์ระลอกที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งปัจจุบันก็เข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ระลอกที่ 3 ไปแล้ว นั่นคือกระแสโลกาภิวัตน์ระลอกที่ 1 เรียก “Globalization of Nation State (รัฐภิวัตน์)” เกิดขึ้นเมื่อ 500 – 600 ปีที่ผ่านมา โดยการขยายอำนาจด้วยการใช้กำลังทางการทหาร โลกาภิวัตน์ระลอกที่ 2 เรียกว่า “Globalization of Companies (บรรษัทภิวัตน์)” เริ่มเมื่อปี ค.ศ. 1800 จากการปฏิวัฒน์อุตสาหกรรมที่อังกฤษ แล้วก็แผ่ขยายในรูปแบบของการแสวงหาอาณานิคม จนมาถึงระบบการค้าปัจจุบันและระลอกที่ 3 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2000 เรียกว่า “Globalization of People (ปัจเจกภิวัตน์หรือประชาชนภิวัตน์)” เป็นกระแสโลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของโลก โดยผู้คน (ประชากรของโลก) มีโอกาสที่จะแข่งขันกันพร้อม ๆ กับร่วมมือกันทั้งในด้านกายภาพ (Physical spases) และด้านความคิดความเชื่อหรือวัฒนธรรม (Virtual spases) เป็นเหตุก่อให้เกิดพลวัตการเปลี่ยนแปลง (Dynamic Change) ในภูมิรัฐศาสตร์โลก ในการเงินโลก ในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และในเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรม นั่นคือกระแสโลกภิวัตน์ทำให้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์โลก ทำให้เกิดองค์การรูปแบบใหม่ที่เป็น “Learning Organization : LO (องค์การแห่งการเรียนรู้)” ซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์ดังกล่าวนี้มีผลกระทบรุนแรงต่อ “คุณภาพของตัวครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการดำเนินชีวิตของตัวครู” ดังกล่าวแล้ว
กระแสโลกาภิวัตน์ด้านสังคมเศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี โดยเฉพาะระลอกที่ 3 คือ Globalization of People จะเน้นที่จะผลิตพัฒนาและส่งเสริมให้คนดำเนินชีวิตเพื่อการสร้างคุณภาพและการแข่งขันในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Sosiety and Economy) ซึ่งสังคมเศรษฐกิจ (Socio-economy) เป็นสังคมเศรษฐกิจที่เน้นคุณภาพและการแข่งขันด้วย “ความรู้” ความเร็วของการเปลี่ยนแปลง” และ “ความเก่ง ความสามารถ/สมรรถนะของคน” ซึ่งรวมเรียกว่า “ทุนทางปัญญา” (Intellectual Cappital : IC) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่มีมูลค่ามากที่สุด เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ (Intangible Asset) เป็นสินทรัพย์ที่แตกต่างไปจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางบัญชี (Tangible Asset) หรือสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ตามเศรษฐกิจรูปแบบเดิม (Old Economy) ที่เคยยึดถือกันอยู่ เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องมือ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้า โดยภาพรวมสังคมเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ระลอกที่ 3 ส่งผลต่อการจ้างงาน ต่อรายได้ ต่อดัชนีค่าครองชีพ โดยเฉพาะผู้ประกอบวิชาชีพครู ซึ่งต้องทุ่มเทและมุ่งมั่นต่อการสร้างคุณภาพการเรียน การสอน การเรียนรู้ของผู้เรียน จึงได้รับผลกระทบโดยตรงต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยียุคโลกาภิวัตน์อย่างรุนแรง ทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งก็เติบโตมาจากครอบครัวระดับสังคมเศรษฐกิจชั้นกลางไป (Socio-economy middle class) มีภาวะหนี้สินที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาในการศึกษาและพัฒนาวิชาชีพ จากการดูแลครอบครัวในด้านที่อยู่อาศัย การศึกษาของบุตรและการดูแลบุตร รวมถึงหนี้สินอันเกิดจากภาวะทางสังคม ด้วยภาระหนี้สินที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีอยู่ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างมาก และก็เป็นที่ประจักษ์ชัดและยอมรับกันว่า “การดำเนินชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษาในภาวะหนี้สินในภาวะขาดแคลนสวัสดิภาพสวัสดิการ” มีผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษา มีผลกระทบรุนแรงต่อการสร้างคุณภาพการเรียนการสอนหรือคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ประเทศไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการจึงปฏิรูปการศึกษา โดยการปฏิรูป “คุรุสภา” ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพครูที่ตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2488 โดยทำหน้าที่ใหม่ 2 ประการ คือ (1) ทำหน้าที่ดูแลเรื่องมาตรฐานวิชาชีพครูมีคุรุสภาเดิมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ และ (2) ทำหน้าที่ดูแลเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยกำหนดหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า “สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบขึ้นตรงต่อปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เพิ่มขึ้นจากการที่มีคุรุสภาอย่างเดียวในอดีต เป็นการยอมรับและเชื่อกันว่า “สวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาของประเทศไทยในยุคสังคมเศรษฐกิจกระแสโลกาภิวัตน์” มีผลโดยตรงต่อ “คุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาและ การดำเนินชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษา” โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช (Sufficiency Economy Philosophy of the King) โดยเน้นหลัก “พอประมาณ - มีเหตุมีผล - มีภูมิคุ้มกัน ใช้ความรู้ปัญญาและคุณธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญ” และกระบวนการทำงาน การประสานงานและร่วมมือของหน่วยงาน 3 หน่วยงาน คือ (1) กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. (2) คณะกรรมการประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตครูระดับประเทศ ภูมิภาคและจังหวัด และ (3) สถาบันการเงินคือ ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ ได้ร่วมกันจัดตั้งหน่วยงานเป็นองค์การอิสระ เรียกว่า “ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู” มีคณะกรรมการ กฎ ระเบียบ และข้อบังคับซึ่งออกโดยคณะกรรมการ สกสค. กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กำกับดูแล โดยมีผู้อำนวยการศูนย์และบุคลากรของศูนย์ปฏิบัติงานตามข้อบังคับ เพื่อทำหน้าที่ในการประสาน สนับสนุน ส่งเสริม และดำเนินการในการแก้ปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา การเยียวยา ป้องกัน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูเพื่อนำไปสู่การดำเนินชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็ง สร้างศรัทธาความเชื่อมั่นให้กับสังคม และสังคมยอมรับนับถือ ทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถทุ่มเทและมุ่งมั่นต่อการสร้างคุณภาพการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากภาวะที่จะมาบั่นทอนขวัญกำลังใจ ภาวะที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของครูและบุคลากรทางการศึกษา
ยุทธศาสตร์สำคัญของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู สกสค. กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งนับได้ว่าเป็น “ Innovation” สำหรับการสร้าง “คุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการดำเนินชีวิตของครูที่มีผลโดยตรงต่อการสร้างคุณภาพการเรียนการสอน หรือคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนได้แก่
1. ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยความร่วมมือของ 3 หน่วยงาน คือ (1) กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. (2) คณะกรรมการเครือข่ายพัฒนาชีวิตครูระดับประเทศ ภูมิภาคและจังหวัด และ (3) สถาบันการเงินคือ ธนาคารออมสิน ใช้กระบวนการวิเคราะห์สภาพหนี้สินของครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับโครงสร้างหนี้และรวมหนี้ จัดเข้ากลุ่มพัฒนาเป็นกลุ่มเล็ก (5-10 คน) และกลุ่มใหญ่ (50 คน) เข้ากระบวนการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตครูเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ของธนาคารออมสินโดยมีตำแหน่งครูและสมาชิกเครือข่ายพัฒนาครูค้ำประกันตามเงื่อนไข
2. ยุทธศาสตร์ป้องกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช โดยกระบวนการอบรมพัฒนา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและให้เกิดเจตคติในเรื่อง “ความพอประมาณ” “ความมีเหตุมีผล” และ “ความมีภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิต” โดยใช้ความรู้สติปัญญาและคุณธรรมเป็นเครื่องกำกับการดำเนินชีวิต และการนำไปปฏิบัติจริงให้เห็นผล
3. ยุทธศาสตร์การลดรายจ่าย - เพิ่มรายได้เพื่อลดปัญหาและความทุกข์ยาก การดำเนินชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยใช้กลวิธี (Tactics) ชี้ให้เห็นทุกข์ – ปลูกให้เห็นธรรม – นำให้เห็นแสงสว่าง แล้วนำเสนอโครงการพัฒนาวิชาชีพครูด้วยกิจกรรมการขอให้มีและเลื่อนวิทยฐานะครูหรือการเลื่อนวิทยฐานะครูเพื่อมีสิทธิของรับเงินค่าวิทยฐานะของตำแหน่งครู และกิจกรรมการพัฒนาสื่อนวัตกรรมต้นแบบเพื่อการส่งเสริมการเรียนรู้แล้วนำไปสร้างและผลิตเชิงพาณิชย์ จะทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีรายได้เพิ่มขึ้น
4. ยุทธศาสตร์พัฒนาวิชาชีพครูเพื่อให้เป็นครูมืออาชีพตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยกระบวนการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งมั่นสู่คุณภาพและการแข่งขันได้ ด้วยการใช้กระบวนการวิจัยและกระบวนการพัฒนาเป็นเครื่องมือสำคัญและตัวชี้วัดความสำเร็จ
จึงเป็นที่คาดหวังได้ว่าหากได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็น “Innovation of learning process” (นวัตกรรมกระบวนการเรียนรู้) ของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครู สกสค. กระทรวงศึกษาธิการ ดังกล่าวแล้ว คุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษารวมถึงการดำเนินชีวิตของครูไทยก็จะเป็นไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ และยังคาดหวังได้ว่า “คุณภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษา และการดำเนินชีวิตของครู” จะช่วยส่งเสริมและสร้างคุณภาพการเรียนการสอนของครูหรือคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน” ตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา
................................................................
เอกสารอ้างอิง
Marquardt , M. (1996). Building the learning Oragnization. New York : Mc Graw – Hill.
___________(2005). Building the Learning Organization: Mastering the 5 Elements for Corporate Learning. California 94303 USA : Davies-Black Publishing.
Noparat Positong (2007). Knowledge Management…In Action for the Quailty and Competitiveness. S and G Graphic, Bangkok, Thailand.
___________(2007). Professional Principalship. Suan Dusit Rajaphard University Press, Bangkok, Thailand.
Peter F. Drucker (2004). What makes an Effective Executive, The Discipline of Innovation, Knowledge-Worker Productivity : The Biggest Challenge. Harvard Business School Publishing.
___________(2006). Classic Drucker. Hasvard Business School Publishing Corporation.
ขอบคุณ ครูอ้อย ดีใจด้วยครับที่ได้เห็นทุกภาพที่ครูส่งมา จงมีความสุขความเจริญตลอดปี 2010