เมื่ออาจารย์ประจำชั้นส่งข่าวมาบอกว่าลูกชายที่เรียนป. 3 ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนถวายพวงมาลัยข้อพระกรสมเด็จพระเทพฯ เนื่องในโอกาสพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นประมาณเดือนธันวาคมพร้อมเพื่อนผู้หญิงอีกคน แม่ถามอาจารย์ว่าจะให้เตรียมตัวอะไรไหม อาจารย์บอกว่าไม่ต้อง แต่ให้เด็กรับข้อมูลไปเรื่อยๆ ก่อน พอถึงวันใกล้งานทางมข. จะเรียกไปซ้อมอีกที
แม่เริ่มถามลูกชายด้วยคำถามพื้นๆ ว่า
แม่ : “รู้จักสมเด็จพระเทพฯ ไหม?”
ลูก : “คนที่ไปเที่ยวแล้วชอบจดๆ ใช่ไหม?”
เอ๊ะ เด็กๆ ก็สังเกตเหมือนกัน
หลายวันต่อมาลูกชายมาบอกว่า อาจารย์สอนว่าถ้าท่านถามก็พูดให้เพราะไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ก็ได้ แต่ลูกชายกำลังเรียนเรื่องร้อยกรองพอดี เลยอยากรู้ราชาศัพท์ด้วย ก็เลยพากันหาคำราชาศัพท์มาทายกันเล่น สนุกดี
เด็กผู้ชายวัยนี้กำลังมีคำพูดแปลกๆ แผลง ออกไปทางหยาบโลน แม่ก็ถือโอกาสช่วงนี้บอกว่า น่าจะหยุดพูดคำพูดพวกนี้ได้แล้ว เพราะเกิดไปพูดตอนถวายพวงมาลัยเข้าจะทำยังงัย ลูกก็พูดดีขึ้นนิดหน่อย
ในระหว่างนั้นแม่รู้ว่าเสื้อที่ลูกใส่แม้จะเป็นสีขาว แต่ขาวแบบเหลือง เลยไปซื้อเสื้อให้ใหม่อีกตัว ซื้อถุงเท้าใหม่อีกคู่ พอต้นเดือนธันวา พาไปตัดผม เพื่อให้วันงาน ผมเข้ารูปพอดี กางเกงลูกดูหลวมๆ ก็ไปใส่ตะขอเพิ่ม ทุกอย่างเตรียมพร้อม พอสักอาทิตย์ก่อนงานลูกมีไอ แม่ให้กินยาฆ่าเชื้อดักไว้ เรื่องอาหารก็ระวังไม่กินอาหารแสลง หมักดอง ทุกอย่างพร้อม
ก่อนวันงานหนึ่งวัน อาจารย์พาเด็กไปซ้อมที่สถานจริง อาจารย์สองท่าน เด็กอีกสองคน ส่วนแม่ชวนน้าไปอีกหนึ่ง เพื่อนแม่อีกหนึ่ง กะไปแอบดูเด็ก ๆซ้อมกัน แม่และคณะไปรออยู่นาน แต่ไม่เห็นอาจารย์ไม่พาเด็กมาซ้อมสักที จนเจ้าหน้าที่บอกให้โทรถามเพราะตอนนี้พี่นักศึกษาที่จะถวายพร้อมกันรอซ้อมอยู่ แม่ก็โทรถามอาจารย์ ปรากฏว่าอาจารย์และลูกชายอยู่ที่กองอำนวยการอีกด้านหนึ่งของหอประชุม เราก็งงว่าอาจารย์ไปรอที่นั่นทำไม เดินไปหาลูก ปรากฏว่าอาจารย์และพยาบาลกำลังปฐมพยาบาลลูกอยู่ เอาโอวัลตินให้จิบ แม่เข้าไปถามลูกเป็นอะไร ลูกบอกว่าเมารถอาจารย์ที่พามา แพ้กลิ่นรถใหม่ !!!!
เรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมจริงๆ อาจารย์เพิ่งถอยรถใหม่ป้ายแดง พาเด็กมาซ้อม ลูกชายก็ไวกับเรื่องกลิ่น และ motion sickness เลยเมารถ ในขณะที่เพื่อนผู้หญิงไม่เป็นอะไร ตอนที่ไปถึงอาการดีขึ้นแล้ว ริมฝีปากมีสีแดง แต่ลูกบอกให้แม่พาไปอ้วก แต่อ้วกไม่ออก เลยพากันเดินฝ่าแดดไปซ้อม
อาจารย์กรรมการซ้อมโดยให้เด็กถือพาน ทำท่าถวาย ลูกชายก็ทำได้ แต่รู้สึกว่าเครียดมาก ไม่รู้ว่าเครียดเพราะไม่สบายหรือเครียดที่ต้องซ้อมกันแน่ ตอนนั้นไม่ได้ถาม เพราะห่วงว่าวันพรุ่งนี้จะทำได้หรือเปล่า ในระหว่างซ้อมมีท่านอธิการ รองอธิการ มาตรวจดูความเรียบร้อย เพราะเพิ่งเสร็จจากจากงานมุทิตาสถาบัน ส่วนเราไม่เป็นอันฟังอะไร เพราะกังวลว่าลูกจะทำได้ไหม สบายดีไหม ลูกจะหายทันไหมพรุ่งนี้ไหม อาจารย์ซ้อมจังหวะให้ไม่นานมาก ก็ให้แยกย้ายกันกลับ แม่อยากให้ลูกชายพักผ่อน เลยไปเก็บของที่โรงเรียนกลับมานอนที่ห้อง ก่อนกลับมาอาจารย์บอกว่าน่าจะตัดผมอออกอีกนิดหน่อย รองเท้าน่าจะขัดให้ดำ เราก็คะๆ น่าจะทำได้ และนัดกันว่าพรุ่งนี้เจอกันหกโมงครึ่งที่ป้ายหน้าหอประชุม
ตอนเย็นเลิกงาน น้ามาดูลูกที่ห้องจะพาตัดผม พากันนั่งรถจะไปร้านตัดผม ซื้อของขัดรองเท้า ลูกชายบอกว่าไม่ไหวแล้ว นอนตักแม่ ไม่สามารถเดินไปร้านได้ ได้แต่นอนอยู่ในรถ เรารู้ว่าถ้าลูกอ้วกจะดีขึ้นแน่อาการนี้ แม่คิดย้อนไปสมัยอยู่ประถม 6 ได้เป็นตัวแทนไปตอบปัญหาของโรงเรียนตอนนั้นก็อ้วกแบบนี้จนได้ไปโรงพยาบาลอำเภอ อ้วกออกค่อยยังชั่ว จึงได้นั่งรถเข้าจังหวัดไปตอบปัญหา แต่ตอนนี้ที่ลูกเป็น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของอะไร
น้าพาขับรถวนมอสักรอบพอจอดรถใต้แฟลตจะพาลูกขึ้นไปนอน ปรากฏว่าลูกไม่สามารถขอนอนในรถ นอนได้สักพักหนึ่ง ลูกขอถุงอ้วก อ้วกออกมาไม่มีอาหารเลย แสดงว่ากินข้าวเที่ยงน้อยมาก แต่พออ้วกออก ลูกก็เริ่มคุยได้ เลยถามลูกว่าตอนเที่ยงกินอะไร ลูกชายบอกกินสุกี้ ลูกชายผู้ไม่กินผัก กินข้าวเที่ยงเป็นสุกี้ คงกินอะไรไม่ได้ ท้องว่าง เจอกับเมารถ เลยไปกันใหญ่ เราก็ว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่ปัจจัยภายนอกเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมจริงๆ เป็นเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อน
หลังจากลูกลุกขึ้นเดินได้ แม่ก็เห็นโอกาสจะพาลูกไปตัดผม ตามที่อาจารย์แนะนำ เพราะตอนแรกที่เห็นลูกนอนหลับตา เดินไม่ได้นั้น แม่ถอดใจไปแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปได้หรือเปล่า ถ้าไปไม่ได้โอกาสนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกเลยในชีวิต เสียดายก็เสียดาย เราเองถึงเตรียมทุกอย่างพร้อมมาตลอด แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญ ร่างกายไม่ไหว คงต้องถอนตัว โทรไปบอกอาจารย์ เพราะสภาพลูกไม่พร้อมก็จนใจจริงๆ แต่พอลูกอ้วกออก เดินได้ ความฮึกเหิมกลับมาอีกครั้ง อยากลองดู เลยชวนลูกไปตัดผมที่ร้านตัดผมผู้หญิงที่แม่เคยไปใช้บริการ พอไปถึงน้องเจ้าของร้านกำลังจะปิดร้านพอดี เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาแต่งหน้าบัณฑิต บอกช่างช่วยตัดผมให้ลูกหน่อย น้องก็มีน้ำใจตัดให้ เห็นดังนั้น เราก็คิดได้ น้องเจ้าของร้านมีแฟนอยู่ด้วย ปกติผู้ชายมักขัดรองเท้าดำ เราก็ถามว่ามีน้ำยาขัดรองเท้าหรือเปล่า น้องเค้ามีน้ำใจหาให้ เลยได้ครบทั้งตัดผมและได้น้ำยาขัดรองเท้า
กลับมาห้องประมาณทุ่ม ลูกชายขอนอนต่อ นอนก็นอน คิดว่าสักสี่ทุ่มน่าจะตื่นมากินอะไรบ้างเพราะในท้องไม่มีอะไรเลย ส่วนแม่ก็กินข้าว ขัดรองเท้าให้ลูก ไม่เป็นอันทำอะไรเพราะเครียด ไม่แน่ใจว่าลูกจะไปไหวไหม จะทำได้หรือเปล่า เลยมานอนข้างๆ ลูก รอว่าลูกตื่นเมื่อไหร่จะหาข้าวให้กิน แม่ก็ไม่ได้นอน ตื่นทุกชั่วโมง ลูกก็ไม่มีท่าว่าจะลุกมากินอะไร แม่ก็ไม่แน่ใจว่าที่ไม่ลุกเพราะยังไม่หายหรือเปล่า นอนเครียดต่อ จนเกือบตีสามลูกพลิกตัว เลยถามว่าไปไหวหรือเปล่า ลูกตอบว่าไหว เราก็ค่อยดีขึ้น เพราะถ้าลูกบอกว่าไหวคือ ไหว ไปได้ พอตีสี่ลูกงัวเงียถามว่าอาจารย์นัดกี่โมง ตอบลูกไปว่าหกโมง ให้นอนต่อสักตีห้าจะปลุก
พอถึงตีห้าลูกลุกได้ แม่ก็หาโจ้กที่ซื้อตั้งแต่เมือคืนให้กินรองท้อง ลูกกินได้ ชงโอวัลตินเติมน้ำน้อยๆ ให้ดื่ม ลูกเอารถบังคับมาเล่น โอเค ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ เลยลองให้ลูกทำท่าถวายดอกไม้ให้ดู ลูกก็ทำได้ แม่ก็โล่งใจ หลังจากเครียดมาทั้งคืน ให้ลูกอาบน้ำแต่งตัว ลูกก็ไม่อยากอาบเพราะหนาว เลยบอกลูกว่านี่เป็นโอกาสดีที่ลูกจะได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ควรทำตัวให้สะอาด เสื้อผ้าก็ใหม่ ถุงเท้าก็ใหม่ รองเท้าก็ขัดแล้ว เหลือแค่ทำตัวให้สะอาด ลูกก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำไป พอสักหกโมงยี่สิบก็เลยพาไปส่งที่หอประชุม
ปรากกฎว่าตอนที่ไปถึงหอประชุมหกโมงครึ่ง มหาบัณฑิตตั้งแถวเรียบร้อยแล้ว โทรหาอาจารย์ อาจารย์ไม่รับสาย เลยวาน รปภ ให้พาเข้าไป เพราะแม่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน เข้าไปไม่ได้แล้ว รปภ กำลังจะพาลูกไป อาจารย์ก็ออกมาพอดี ก่อนไปบอกลูกว่าให้อดทนมีปัญหาอะไรก็บอกอาจารย์ ประมาณ 9 โมงกว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อยวันนั้นอากาศข้างนอกสัก 19 องศาได้ อาจารย์ไปหาเสื้อคลุมมาให้ลูกใส่ พอสักเจ็ดโมงก็เริ่มเคลื่อนขบวนกัน เราก็อยู่ถ่ายรูปบัณฑิตนิดหน่อย ก็กลับมาแต่งตัวไปคณะเพื่อดูถ่ายทอดงานทาง KKU channel
ประมาณ 8.30 น ถึงเวลารับเสด็จกล้องของ KKU channel อยู่หลังกล้อง free TV เลยไม่เห็นลูกชาย เห็นแต่พระองค์ก้มลงหยิบพวงมาลัย พอกล้องเปิด ปรากฏว่าพระองค์ท่านเดินมือเปล่าเข้าหอประชุมไป ภาพก็ตัดไปในหอประชุม เป็นอันจบสำหรับการถ่ายทอดของลูก
ตอนเย็นต่อมาปรากฏว่าน้องที่คณะเข้าไปที่หน้าเวบของ KKU ปรากฏว่าเป็นที่กรี๊ดกร๊าดกัน เพราะเห็นภาพของลูกชายตัวเล็กๆ ยืนถือพาน กำลังมองพระองค์ท่าน ภาพสวยมาก พระองค์ใส่ชุดสีโอโรส มีอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ใส่ชุดครุยขาวยืนรอบ ฟ้าใส แดดสวย แต่ไม่ได้นำภาพมาลงให้ดู เพราะอาจไม่สมควร แม่ก็ save เก็บไว้ ส่งให้เพื่อนๆ ดูต่อ
เย็นวันเดียวกันก็ตามไปดูข่าวในพระราชสำนักของทุกช่อง เผื่อมีรูปลูกชายออกบ้าง ปรากฏว่ามีข่าวช่อง 3 และ ช่อง 5 ที่เห็นภาพเคลื่อนไหวตอนถวาย ญาติพี่น้องและคนรู้จักก็โทรกริ๊งกร๊างกันอีก ใช่แคนไหมๆ แม่ก็ตอบไปว่าใช่คะ ส่วนเจ้าตัวดีใจ เห่อเหมือนกัน ตามดูตัวเองทุกช่อง แอบถามลูกว่าตื่นเต้นหรือเปล่าตอนถวาย เค้าบอกว่าไม่ ส่วนแม่และญาติพี่น้องคนนั่งลุ้นเครียดกว่า เพราะไม่แน่ใจว่าลูกจะทำได้หรือเปล่า จะถูกจังหวะไหม จะสะดุดล้มไหม และ ฯลฯ
หลังจบงานลูกชายมีคำถาม
ลูก: “ทำไมใครๆ ถึงบอกว่าแคนโชคดี?”
แม่: “เพราะแคนได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน หลายคนที่อยากใกล้ชิด แต่ไม่มีโอกาส”
ลูก “มีอีกคนที่ใกล้ยิ่งกว่าแคนอีก แม่รู้ไหม”
แม่ : “ไม่รู้”
ลูก: “คนถือร่มงัย”
แม่ : “นั่นเค้าทำตามหน้าที่”
ลูก “แต่ไม่เห็นพระเทพพูดอะไรเลย”
แม่ : “มีงานพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตอีกเกือบ 8000 คน รออยู่ ต้องรีบ ถ้าแคนอยาก นั่งคุยกับท่านจริงๆ มีอีกวิธีหนึ่ง สนใจไหม”
ลูก : “ทำงัย”
แม่ : “แคนเรียนหนังสือเก่งๆ แล้วสอบชิงทุนสิ ถ้าได้นะ คราวนี้ได้นั่งคุยกันแน่ นอน คิดว่าทำได้ไหม”
ลูก: “ไม่รู้สิ.......แล้วอาจารย์ไปด้วยหรือเปล่า...”
...............................................................
เป็นอันจบภารกิจของเด็กป. 3 ตัวเล็กๆ ด้วยความลุ้นระทึกของแม่ แต่จบลงอย่างสวยงาม นำความปลาบปลื้มและดีใจมาให้เจ้าตัว ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท มิตรสหาย โดยถ้วนหน้า หวังว่าเมื่อลูกโตขึ้นจะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้อีก แต่ได้บอกลูกว่าแคนโชคดีที่ดีรับเลือก แต่โชคดีไม่ได้เกิดชั่วข้ามคืน ถ้าไม่ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดี.....
ซ้อมพร้อมเพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกัน...น้องปุย
ซ้อมพร้อมพี่และเพื่อน...
อาจารย์กรรมการกลางซ้อมให้
เพื่อนของลูกทำสวย
เช้าตรู่วันงาน ตอนเจ็ดโมง บัณฑิตเดินเข้าหอประชุม
โตขึ้นม่อนอยากเก่งเหมือนพี่ๆจังครับ
น้องม่อน...จงพยายามต่อไป...
คำพูดที่คนญี่ปุ่นใช้ตอนกล่าวจากกันแต่ละวัน
ไม่รู้ที่อื่นเป็นด้วยหรือเปล่า แต่ที่ห้อง lab อาจารย์ professor มักกล่าวกับนักศึกษาก่อนกลับบ้านประมาณ2 ทุ่ม..ด้วยคำนี้
จงพยายามต่อไป...