ป่วยกาย ใคร ๆ ก็รู้........แล้วป่วยใจละ ใครจะรู้
ในห้องสุขใจ ...วันนี้ ดิฉันมีโอกาสได้ให้บริการผู้ป่วยรายหนึ่ง เพศหญิงอายุ 54 ปี สถานภาพคู่ อาชีพธุรกิจส่วนตัว หลังจากสร้างสัมพันธภาพ ตกลงบริการผู้ป่วยเริ่มไว้วางใจ ให้ข้อมูลตนเองว่า ตนเอง สมรสแล้วมีบุตร 3 คน เพศหญิงทั้งหมด ตนเองจบการศึกษาปริญญาตรี อดีตเคยรับราชการครู ปัจจุบันมาประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เธอให้ข้อมูลว่าสามีเป็นคนดี ขยัน ช่วยเหลือสังคม (มากไปหน่อย)ใครเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ ได้รับความช่วยเหลือทุกครั้ง ส่วนกับตนเองและบุตร เธอเล่าว่าไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ น้อยใจ ที่สามีดูแลคนอื่น ๆ มากกว่าคนในครอบครัวและบางครั้งสามีจะเป็นคนพูดจาไม่ไพเราะ โดยเฉพาะกับตนเอง ทำให้ตนเองน้อยใจ บ่อย ๆ เมื่อพูดคุยด้วยกันจะจบด้วยเรื่องสามี เดินออกจากบ้าน/หรือทะเลาะกันประจำและช่วงหลังสามีจะช่วยเหลืองานสังคมมากขึ้น บุตร 2 คนอยู่ที่ กทม. 1 คน อยู่บ้านดูแลธุรกิจแต่มีพฤติกรรมเป็นทอม มีเพื่อน หญิง (ภรรยา) ระยะหลัง บุตรสาวและเพื่อนหญิงทะเลาะกันบ่อย ๆ ถึงขนาดทำร้ายร่างกาย ธุรกิจเริ่มแย่ลงในที่สุด จำต้องขายธุรกิจ จึงทำให้ผู้ป่วยคิดมาก นอนไม่หลับ ไม่กล้าปรึกษาใคร และชอบเก็บตัวไม่ออกไปสังคมกับคนภายนอก หากเครียดมาก ๆ เธอมีความคิดอยากตาย เบื่อไม่อยากมีชีวิตต่อไป เพราะคิดว่าชีวิติแย่ ไม่มีใครที่ให้กำลังใจ หรือปรึกษาได้ถ้าตายน่าจะหมดปัญหา......แต่วันนี้บุตรสาวมาจากกรุงเทพ พามาไปรับบริการที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ เมื่อมารับบริการเธอก็บอกว่าหลังจากพูดคุยมีการฝึกทักษะ คลายเครียด 1-2 วิธีและ จนท.เสมอ ทางเลือกให้เธอจึงตัดสินใจที่จะออกพูดคุยกับคนภายนอก และออกกำลังเพราะเธอชอบการออกกำลังกาย หลังจากนั้นเธอจะกลับมาหาเราตามนัด สม่ำเสมอ และเริ่มออกกำลังกายเป็นเวลา ประมาณ 4 เดือน อาการหงุดหงิด เครียด ดีขึ้น และเธอได้สมัครเป็นแกนนำออกกำลังกาย ดิฉันส่งเธอไปอบรมแกนนำ และมีโอกาส จัดทำทีมออกกำลังกาย เข้าทำการแข่งขันจนได้รับรางวัล ชนะเลิศ อันดับ 1 ชีวิตเธอเริ่มดีขึ้น ตามลำดับ มาระยะหลังเริ่มไม่รับประทานยา ตามแนะนำโดยให้เหตุผลรับประทานยาแล้วทำให้มีเวลาน้อยลง เพราะเธอเป็นคนที่มีความตั้งใจ สูง คิดจะทำอะไร ต้องทำให้ได้ ชีวิตเธอจะยืดหยุ่นยาก เช่น หากบอกลูกว่า ทำอย่างนี้ ถ้าลูกไม่ทำตาม เธอจะโกธร จะไม่พูดด้วยสุดท้ายเธอจึงขัดแย้งกับลูกสาว ทอม อย่างรุนแรง โดยประกาศว่าถ้าลูกไม่ทำตามเธอจะเป็นฝ่ายยอมตายเอง บุตรสาวเล่าให้ฟัง
วันหนึ่งบุตรสาวมาพบ จนท. ที่ห้องสุขใจบอกว่า แม่หายออกไปจากบ้านมา 2 วัน จากเหตุผลข้างต้น ทำให้ทุกคนในครอบครัว เป็นห่วง เพราะไม่ได้ข่าวแม้แต่โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้
และแล้ววันที่ 3 ของการหายไปจากบ้าน เวลา 10.00 น. สามีได้มาหา จนท. ที่ห้องสุขใจ โดยขอร้องให้ช่วยโทรศัพท์หาผู้ป่วย แต่ติดต่อไม่ได้ แต่ เวลา 10.30 น. เธอได้โทรศัพท์เข้าเบอร์ hot line สายด่วนว่า เธอกำลังจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่ขอฟังเสียงเราครั้งสุดท้ายก่อนลาโลกนี้ ดิฉันพูดคุยโทรศัพท์ ได้ยินเสียงเธอ เรือหางยาง จึงถามว่าอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับคุณ มีอะไรจะให้ดิฉันช่วยเหลือคุณได้หรือไม่ และขอให้ใจเย็น ๆ ทุกคนเป็นห่วงคุณ เธอพูดมาตามสายว่าไม่มีใครรักเธอแล้ว ลูกสามีก็หมดรักเธอแล้ว ดิฉันพูดต่อไปว่าคุณบอกว่าไม่มีใครรัก แต่อย่างน้อยดิฉันไม่ได้เป็นญาติคุณแต่เป็นห่วงคุณอยากให้คุณปลอดภัย และดิฉันคิดว่าญาติคุณคงเป็นห่วงคุณมากกว่าดิฉันหลายเท่า เพราะตั้งแต่ คุณออกจากบ้าน 3 วัน ได้มีลูกและสามีมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือและบอกดิฉันว่าเขาเป็นห่วงคุณมากและหากคุณไม่เชื่อ ดิฉันจะให้คุณได้ยินเสียงญาติคุณ คุณอยากจะคุยกับพวกเขาก่อนไหม ว่าเขารู้ลึกอย่างไร ที่คุณหายออกไปจากบ้าน หลังจากนั้นเธอจึงยอมพูดคุยกับสามี โดยบอกว่าขอให้ดิฉันช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วย ดิฉันจึงบอกว่าขอให้เธอใจเย็น ๆ และสามีและลูกจะไปรับคุณ
หลังจากสามีและลูกไปรับและพามาพบกับจนท. ที่ห้องสุขใจเธอบอกว่าเธอรู้สึกอยากตาย แต่คิดถึงประโยคที่ว่าแม้ จนท. ไม่ได้เป็นญาติแต่ก็เป็นห่วงอยากให้ตนเองปลอดภัยจึงคิดล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายตนเอง หลังจากนั้นเธอจึงมาพบตามนัด สม่ำเสมอรับประทานยาต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญกว่านั้นเธอจะออกกำลังกาย โดยเป็นแกนนำออกกำลังกาย หลายชมรม ทำให้เธอเริ่มเห็นคุณค่าของตนเอง และเห็นโอกาสที่ช่วยเหลือผู้อื่น ๆ และทำให้คนอื่น มีความสุขปัจจุบันเธอจึงมีสุขภาพจิต จนเป็นปกติและช่วยเหลืองานสังคมสม่ำเสมอ โดยมีครอบครัวคอยให้กำลังใจ พูดจากันด้วยเหตุผลเข้าใจซึ่งกันจึงทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น
ค่ะจะเห็นได้ว่าบางครั้ง ชีวิตมนุษย์เป็นเสมือน เงามืดดำ หรือ มืดมัวในบางขณะแต่หากมีแสงสว่าง หรือคนช่วยเหลือให้เขาได้ โดยดึงศักยภาพและคุณค่าในตัวเขาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ ป่วยกายใคร ๆ ก็รู้ แต่ป่วยใจรักษายากหากดูแลไม่ตรงจุด และการให้บริการจะต้องมีกระบวนการคิดที่เกิดจากการมีส่วนร่วม คือ การให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมคิด และตัดสินใจเลือก จึงจะเกิดการพัฒนามีความสุขที่ยั้งยืน
บทสรุปคือจะเห็นได้ว่าในยามที่เขาเป็นทุกไม่มีใคร และเกือบจะหมดหนทางที่จะแก้ปัญหา เขาก็ยังตะเกียดตะกายหาคนช่วยเหลือ เช่นโทรมาหาเรา ด้วยประโยคที่ประทับใจว่า “ขอฟังเสียงเราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลาโลก ” มันเป็นคำพูดที่เขาได้ ขอความช่วยเหลือ จะเห็นได้ว่า มันเป็นการขอความช่วยเหลือ และคาดหวังไว้ว่าเรา จนท. น่าจะช่วยเขาได้เพราะฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นผู้มีความรู้ จึงต้องมีความตั้งใจเต็มใจ ช่วยเหลือเขาบนพื้นฐานของความเป็นไปได้ และมีการส่งเสริมในเรื่องที่เขาสามารถและทำให้เกิดสุขต่อเนื่องและยั่งยืน
ขอเป็นกำลังใจ ค่ะ ป่วยกายใคร ๆ รู้ ป่วยใจคนมี SHA ในหัวใจรู้ค่ะ ...
เป็นโอกาสดีๆที่เรานำสิ่งดีๆ มาเล่าสู่กัน
ขอบคุณชาว sha ทุกคน