เช้านี้คนไข้ไม่มาก แต่ที่ทยอยมาคือมาขอใบรับรองแพทย์เพื่อจะทำใบขับขี่ โดยขนส่งจะออกมาให้บริการที่โรงเรียนในวันที่ ๒๖ นี้ วันนี้มีคุณตาคนหนึ่งมาขอถอนฟัน แต่น้องทันตาภิบาลดูประวัติแล้วเคยรับยาเบาหวานแล้วขาดยาจึงขอให้พี่พยาบาลเจาะน้ำตาลให้ปรากฏว่าได้ค่า สองร้อยกว่า จึงส่งเข้ามาพบผม ผมพูดคุยถึงอาการที่ยังคงเป็นอยู่และสาเหตุที่ขาดยา และเริ่มแนะนำให้กินยาใหม่ และนัดอีกหนึ่งเดือน ลืมไปเหมือนกันว่าแกมาหาด้วยเรื่องต้องการถอนฟัน สักพักน้องทันตาภิบาลเดินเข้ามาถามว่าจะสามารถถอนฟันคุณตาได้เมื่อไหร่ ผมอึ้งสักพักเคยถูกถามอย่างนี้บ่อยครั้งเหมือนกันสมัยตรวจอยู่ในโรงพยาบาล จึงเริ่มทบทวนความรู้โดยถามย้อนกลับว่าแล้วทางทันตะกรรมกลัวอะไรหากจะทำหัตถการกับผู้ป่วยเบาหวาน ได้แลกเปลี่ยนพร้อมกับนึกในใจว่า..... "จะสามารถถอนฟันคุณตาได้เมื่อไหร่" คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีน่าจะเป็นทันตแพทย์มากกว่าแพทย์ แต่ความงามของปฐมภูมิอยู่ที่เราช่วยกันดูคนไข้ แก้ปัญหาได้ทันที นี่ถ้าเป็นโรงพยาบาลนึกภาพไม่ออกว่าคุณตาต้องเดินกี่รอบ และเสียเวลาอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะไป ห้องแลป พบแพทย์ ทันตะ และห้องยา
โดยสรุปรายนี้รออีก สองอาทิตย์นัดมาเจาะน้ำตาล ถ้าอยู่ในเกณฑ์ดีจึงจะทำหัตถการได้ (ผมยังนึกในใจว่าทันตแพทย์ช่วยตอบทีต้องการน้ำตาลคนไข้เท่าไหร่ดี)
จริงด้วยนะ กระตุกความคิดดี
นั่นซิคะ คุณหมอ ได้ลองถามทันตาภิบาลแล้ว บอกว่าแล้วแต่ทันตแพทย์และแพทย์
พรุ่งนี้จะลองถามทันตแพทย์ดูว่า ต้องการน้ำตาลเท่าไรดีจึงจะทำหัตถการได้
ถ้าทันตแพทย์ตอบว่า เมื่อระดับน้ำตาลลดลงที่ค่าปกติ หรือก็แล้วแต่แพทย์จะพิจารณา คุณหมอจะพิจารณาอย่างไรดีคะ
แล้วรวมถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรังทั้งหลายด้วยค่ะ เช่น HT
เหมือนอ่านสลากยาแหละครับ อ่านไปอ่านมาให้ใช้ตามแพทย์สั่ง.....แล้วแพทย์จะสั่งยังงัย??นี่
ผมก็รู้สึกว่า "ความงามน่าจะอยู่ที่ความเรียบง่ายนะครับ...บางครั้งความง่าย ไม่ซับซ้อนคือเสน่ห์ ที่ผมหลงไหลครับ...พี่เห็นด้วยกับผมไหม?
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๓
ขอให้คุณหมอสีอิฐและครอบครัวมีความสุขดังบทบาลีที่ว่า เต อัตถลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธสาสเน อโรคา สุขิตา โหถะ สหสัพเพหิ ญาติภิ. ขอให้ครอบครัวของท่านพร้อมด้วยหมู่ญาติ จงประสบสุขในสิ่งที่ปรารถนา มีสุขภาวะที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยและเจริญงอกงามไพบูลย์ในพุทธธรรมตลอดไป เทอญ.
ในฐานะคนที่เคยเป็นทันตาภิบาลมาก่อน ความจริงแล้วน้องทันตาภิบาลน่าสงสารนะคะ เพราะเรียนแค่สองปี จริงๆแล้วงานหลักคืองานส่งเสริมป้องกัน ทันตาภิบาลจริงๆแล้วไม่สามารถถอนฟันแท้ได้ แต่เป็นภาระงานที่ต้องทำเกินหน้าที่ ทันตาภิบาลใน สอ.จะทำงานได้ต้องมีทันตแพทย์รับรอง น้องคงไม่แม่นในวิชาการว่าน้ำตาลสูงเท่าไรจะมีผลต่อการหายของแผลอย่างไร หรือคนไข้ที่ความดันโลหิตสูง เมื่อถอนฟันแล้วจะมีผลข้างเคียงต่อคนไข้อย่างไร ฟันโยกหรือฟันที่ถอนง่ายอาจไม่มีผลอะไร แต่ฟันที่ถอนยากแบบยากมากๆ ย่อมสร้างความเครียดและอะไรหลายๆอย่างแก่คนไข้และหมอ เผอิญที่ สอ.ไม่มีทันตแพทย์ให้ถาม เลยต้องส่งไปหาแพทย์น่ะค่ะ ถ้าจะให้ดีควรให้ สสจ.จัดวิชาการแก่น้องทันตาภิบาลเป็นระยะนะคะ เพราะอาจมีความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาใช้ และฟื้นฟูความรู้เดิมด้วยค่ะ
ขอให้คุณหมอมีความสุขปีใหม่นะคะ
รักตัวเองและครอบครัวให้มากๆนะคะ
เพื่อจะได้มีแรงพัฒนาสังคม ชุมชนต่อไปค่ะ
หมอฟันกลัวอะไร ? ถ้าทั่วๆไป คงตอบว่า กลัวแผลหายช้า ไวต่อการติดเชื้อ
ปกติเกณฑ์ที่ทำงาน mso รับรอง standard orderให้ว่า น้ำตาลดีไม่เกิน 180 2 ครั้งต่อกัน ทพ.ซักประวัติ ประเมินแล้ว ทำหัตถการได้เลย ไม่ต้อง CONSULT แพทย์อีกที
กรณีน้ำตาลเกินนี้ก็พจารณาเป็นรายๆไป ปรึกษากับแพทย์อีกที รอได้ก็รอ ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องฟันมักรอได้ เว้นอาการรุนแรงจริงๆ
แต่ลึกๆลงไปมีที่กลัว อยู่ในใจ
สำหรับที่นี่ เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์มาก่อน ภาษากฏหมายตีความตรงตามอักษร และการแปลความที่เราไม่รู้
เลยมีเกณฑ์อะไรหยุมหยิมออกมา บางอย่างก็น่าจะทำให้ปชช ไม่สะดวก แต่ในสถานการณ์ระบบริการทุกวันนี้ อันไหนที่ทีมทำไม่ไหว ก็ยึดที่ระเบียบ+ตามกฏหมายเป็นหลัก
การทำ standard order โดย mso รับรอง ก็พอจะช่วยได้เรื่อง ------------ " ปรึกษาแพทย์" แล้วค่ะ
ปกติ ไม่ให้ ทภ. ทำ กรณี pt เป็น DM
รวมโรคเรื้อรังอื่นๆ , ตอนนี้ผ่านมาหลายปี ชักหายตกใจ เริ่มปล่อยที่ ถ้าอุดฟันธรรมดา ทพ.ลงชือกำกับในบัตรให้ทำได้ --------------- กฏนี้ เนื่องจาก มีประโยคที่ตามระเบียบว่า ทภ. ถอนเฉพาะฟันที่ไม่ซับซ้อน
( กรณีมีโรคประจำตัวถือว่า ซับซ้อน แม้ฟันจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ )
ใน สอ.ที่มี ทภ. ประจำ ถ้ารีบ ส่งมา รพ. ถ้าไม่รีบ นัดวัน ให้ ทพ.ลงไปทำให้
สนับสนุนให้น้องๆ ทำงาน ส่งเสริมป้องกันเยอะๆ แทนการรักษาที่เสี่ยงกว่า ใช้เงินน้อย ดีในระยะยาว +เห็นน้องๆ มาหลายคนหลายรุ่น ที่ส่งออกเชิงรุก ทำโน่นทำนี่ น้องๆ จะHAPPY กันมาก
One study determined that the risk of infections was directly related to fasting blood glucose levels. Patients with levels below 206 mg/dL had no increased risk, whereas patients with fasting blood glucose levels above 230 mg/dL had an 80 percent increased risk of developing infection.Therefore, dentists must be familiar with the diabetic status of their patients, and make appropriate accommodations to prevent and treat effectively diabetes-associated oral and systemic disorders.
I think this could help us about our discussion.
But if you would like to see a detail in full paper, please go to http://www.jada.info/cgi/content/full/134/suppl_1/4S .
ขอบคุณหมอป่าครับ