ข้าราชการหลายคนอยากจะเปลี่ยนงาน บ้างก็เป็นงานภายในองค์กร บ้างก็อยากเปลี่ยนองค์กรไปเลย ตัวเองก็เช่นกันเพิ่งเปลี่ยนงานค่ะ ดูแล้วก็ผ่านมาหลายงานเหลือเกิน เหตุผลในการขอย้ายเปลี่ยนงานนั้นอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างก็มีแตกต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญหลักๆ คือ เรามีความสุขในงานที่ทำหรือไม่? ในการแสที่ Happy work pLace หรือ ที่ทำงานแสนสุข นั้น คงไม่ได้หมายความว่า ความสุขในการทำงานคือการเลือกที่จะทำงานหรือไม่ทำงานใดๆ ตามความชอบใจของเรา แต่ความสุขในการทำงาน หมายถึง ความอยากมาทำงาน ไม่หดหู่ อยากให้งานมีผลสำเร็จ ลุล่วง มีความกระตือรือล้น มีรอยยิ้มแม้งานนั้นจะไม่ได้ดังเป้าหมาย และผู้ปฏิบัติสามารถยืดอกพูดกับใครต่อใครได้ว่า งานนั้นไม่ได้ดังเป้าเพราะอะไร
และปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสุขมีหลายปัจจัย แต่สิ่งหนึ่งนั้น คือ ตัวเราเอง...ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถควบคุมได้
วันนี้ได้มีโอกาสอ่านบทความหนึ่งใน มติชนสุดสัปดาห์ฉบับที่ 1528 ประจำวันที่ 27 พ.ย.-3 ธ.ค. 2552 ซึ่งเขียนโดยคุณชยันต์ ชัยพฤกษยะนนท์ ท่านกล่าวถึงการสร้างความสุขในการทำงานสำหรับชีวิตข้าราชการอย่างเราๆ ไว้ 7 ข้อ สิริพร ก็ขอร่วมด้วยช่วยขยายแนวคิด ค่ะ
-
มีความภูมิใจในการพึ่งพาตัวเอง แม้รายได้อาจจะน้อยกว่าภาคเอกชนแต่หากใช้เป็นและรู้จักใช้นั้นสำคัญกว่า
-
เห็นคุณค่าของงาน หากเป็นงานที่สุจริตแล้ว ไม่ว่าจะข้องเกี่ยวกับงบ 5 พันล้าน หรือเป็นพนักงานขับรถ ล้วนแต่เป็นงานที่เป็นฟันเฟืองที่สำคัญต่อผลสำเร็จขององค์กร และอย่าลืมว่างานราชการนั้นเกี่ยวพันกับการพัฒนาประเทศโดยตรงเลยทีเดียว
-
คิดในแง่บวก แม้เงินเดือนจะน้อย ข้าราชการมักท้อแท้และคิดว่าไม่มีทางไป ถ้ามีทาง…คงลาออกไปทำอาชีพอื่นแล้ว…อย่างงี้ก็ไม่มีความสุขนะสิก็คิดเสียว่ายังมีสวัสดิการที่ดี ไม่ต้องแข่งขันสูง
-
มีสุขภาพร่างกายที่ดี จิตใจที่สมบูรณ์ส่งผลถึงร่างกายที่สมบูรณ์ เมื่อร่างกายสมบูรณ์ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โปรดระวังการทุ่มเท…เทใจให้งาน จะทำให้เกิดความทรุดโทรมของร่างกาย ต้องรู้จักการจัดการให้สมดุลย์
-
รู้จักการยอมรับผิดพลาดทั้งของตนและผู้อื่น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนา หลายแห่งที่นายถูก…ลูกน้องผิด…คนเป็นนายก็คิดใหม่ทำใหม่ถึงไม่แคร์ลูกน้องนินทา แต่นั่นหมายความถึงความศรัทธา…ซึ่งหาซื้อไม่ได้…สำหรับคนเป็นลูกน้อง…ต้องปฏิบัติตามข้อ 3 คิดบวกเข้าไว้ ระบบราชการเองได้มองถึงการนำเอาเกณฑ์การประเมินสมรรถนะมาใช้ หากข้าราชการมองว่าการมองเห็นความผิดพลาด/ข้อด้อยของตนเองเป็นเรื่องน่าอาย นั่นคือ การหลอกตัวเอง การประเมินสมรรถนะคงไม่มีประโยชน์อะไร และอย่าเพลงของวงคาราบาวที่ว่า “ไม่มีผลงานไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดชอบ” สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” และฝากไว้นะจ๊ะ ก่อนที่จะมองดูข้อผิดพลาดของคนเอง มองให้เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเสียก่อน เพราะมนุษย์ไม่ใช่อะไรที่ perfect
-
มีน้ำใจต่อกันในที่ทำงาน สร้างที่ทำงานให้น่าอยู่ รักกันสามัคคีกัน เพราะคนเราอยู่ที่ทำงานมากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่าการใช้ชีวิตร่วมกับคนในครอบครัวซะอีก (เพราะไม่นับเวลานอนหลับ) อย่าให้”มายา” คือ ขั้น ถ้วย การชิงเด่น มาทำลายมิตรภาพและสัมพันธภาพที่ดี ส่วนตัวชอบคำกล่าวของนายทหารคนหนึ่งที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” เอ๋ ดูว่าในที่ทำงานคนนี้ค่อนข้างจะโง่กว่าใครเพื่อนนะ…กลับไปข้อ 3 คิดบวกเข้าไว้…
-
รู้จักการผ่อนคลาย ทำให้ชีวิตดีขึ้นจากความเครียด…ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง…สุดท้ายผลสัมฤทธิ์ก็ตกอยู่ที่งาน หน่วยงานราชการใดสร้างผลงานและสร้างความเครียด…นับว่าดี แต่หน่วยงานใดที่สร้างผลงาน ตัวเองและลูกน้องไม่เครียด…หน่วยงานนั้นคือสุดยอด…การผ่อนคลายจะเกิดขึ้นได้โดยการปล่อยวาง การปล่อยวางจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความเข้าใจต่อศักยภาพขององค์กร ปัจจัยทางด้านการบริหาร ความเสี่ยง ถ้ายังอยากได้ อยากมี อยากเป็น โดยไม่เข้าใจองค์กร…เครียดแน่
คุณชยันต์ ยังได้ฝาก “อิทธิบาท 4” ซึ่งเป็นเบสิคพื้นฐานทางพุทธศาสนามาให้ข้าราชการไทยใช้ในการสร้างสุข คือ
- ฉันทะ คือ การรักและพึงพอใจในสิ่งที่ทำ
- วิริยะ คือ การเพียรพยายามในสิ่งที่ทำ
- จิตตะ คือ ความเอาใจใส่ในงานนั้นๆ
- วิมังสา คือ การพิจารณาใคร่ครวญในการทำงานต่างๆ
ขอให้ข้าราชการไทยมีความสุขทุกท่าน ไชโย้….