Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ธรรมใกล้ตัว : กระดานสนทนาข่าว


“จะบาปไหม” เมื่อเราเสพข่าวและคำวิจารณ์จากกระดานสนทนา  ตามหน้าข่าวต่างๆที่ปรากฏในอินเตอร์เนต บางเรื่อง  บางประเด็น ร้อนระอุด้วยการแสดงความคิดเห็นจากคนที่หลากหลาย  ทั้งที่เราเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย  ทั้งที่เราชอบ  และไม่ชอบ    ถูกใจ ไม่ถูกใจ ถูกต้องและไม่ถูกต้อง

ยิ่งเราเป็นคนที่ทันสมัย  คอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้ ยิ่งดู  ยิ่งคุยแบบนี้ น่าคิดนะคะ“แล้วเราจะบาปไหมเนี่ย”  555  ในเรื่องนี้คุณกลางชลมีคำตอบค่ะ

 

วารสารธรรมใกล้ตัว  ฉบับที่ ๐๒๘ พฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

http://www.dungtrin.com/mag/?28#

จากใจบก.ใกล้ตัว - กลางชล

สวัสดีค่ะ

 

เรื่องนี้อ่านผ่าน ๆ แล้วก็เหมือนเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ไม่มีแก่นสารสาระอะไร

แต่ที่เรื่องมันดังกินพื้นที่สื่อทุกชนิดขึ้นมา ก็เพราะตัวละครในเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นดารา

และหนึ่งในนั้น ก็เป็นดาราที่มีชื่อเสียงระดับประเทศที่มีคนชื่นชมนับล้านนั่นเองค่ะ

ช่วงนั้น เว็บไหนที่มีกระดานสนทนาคุยกัน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนแสดงความเห็น

การจับผิดคำพูดของดาราอีกฝ่าย และการแสดงอารมณ์จากแฟนคลับข้างต่าง ๆ

แทบจะดังทะลุกระดานออกมานอกจอคอมพิวเตอร์เลยทีเดียวนะคะ

 

ถามว่า แล้วเราเฝ้าสนใจติดตามอ่านทั้งข่าว ทั้งคนแสดงความเห็นเรื่องนี้ทุกวัน ๆ แล้ว

จะบาปอย่างที่น้องเขาถามไหม? …ก็คงไม่ถึงกับเรียกว่าบาปหรอกนะคะ

เพียงแต่ลองย้อนกลับมาสังเกตใจตัวเองดูสักนิดว่า

เมื่อเราเอาตัวเองไปนั่งแช่อยู่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้มากเข้า ๆ แล้ว

จิตใจเราเกิดปฏิกิริยาอย่างไร รัก ชอบ ชัง เกลียด แค้น สงสาร เอียน หมั่นไส้ ฯลฯ

แล้วตอบตัวเองง่าย ๆ ว่า เสพข่าวและคำวิจารณ์เหล่านี้แล้ว

จิตเราสว่างขึ้น หรือหมองลง

 

คนส่วนใหญ่ติดตามข่าวด้วยอาการ "เอามัน" อยู่ลึก ๆ

ทั้งที่เมื่อมองออกมาจากคนละมุมเช่นนี้ เถียงกันทั้งปีก็หาคำว่า "ถูก-ผิด" ไม่ได้

มีแต่คำว่า "ถูกใจ" หรือ "ไม่ถูกใจ" ตามความเชื่อหนึ่ง ๆ ของแต่ละคนเท่านั้น

และน้อยคนนักที่จะรู้ตัวว่า ยิ่ง "อิน" ยิ่งติดตาม ยิ่งเข้าไปนั่งอยู่กลางวงวิจารณ์

ความรู้สึกชอบ ชัง เกลียด ไม่พอใจ สะใจ แสลงใจ ฯลฯ เหล่านั้น ก็ยิ่งสะสมพอกพูน

และการเอาจิตไปจมแช่อยู่กับอารมณ์อันเป็นไปในทางหมองเช่นนี้

ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราเอาจิตไปแช่อยู่ในน้ำครำ โดยไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

 

ข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อทุกวันนี้ มีแต่ข่าวชวนเมาท์เพื่อความเศร้าแห่งจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน

ถ้าเรายอมปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแสเรื่อย ๆ แนวโน้มก็คือ

เราก็จะซึมซับอารมณ์อันเป็นด้านของความหมองความมืด มากกว่าด้านสว่างเข้าตัว

 

และความจริงของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราก็คือ

ยิ่งจิตของเรามืดด้วยการสั่งสมอารมณ์อันเป็นอกุศลมากขึ้นเท่าใด

โอกาสที่จะไปอบายเมื่อสิ้นปลายภพ ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

 

และนั่น ว่ากันเพียง "มโนกรรม" หรือการกระทำทางใจเท่านั้นเองนะคะ

คือเพียงอ่านข่าว อ่านกระทู้ แล้วเราอาจจะนึกหมั่นไส้ อยากด่าแม่คนนี้ อยากว่าพ่อคนนั้น

แต่ยังไม่ทันหลุดออกมาเป็นภาษาให้กระทบโสตประสาทและความรู้สึกใครต่อใคร

มีแต่เพียงเมฆหมอกแห่งความมืดมัวที่ปกคลุมเราอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

 

แต่สำหรับอีกหลายคน คิดคนเดียวนั้นไม่มันพอ ทว่ามีแรงขับอยากระบาย อยากให้คนอื่นรับรู้

อยากกระโดดเข้าไปร่วมพิพากษา วิจารณ์ กระทั่งกล่าวโต้ผู้อื่นที่คิดต่างไปจากตัวเอง

 

ไม่เพียงเสียงเมาท์เฝ้าจับผิดและเสียงถกเถียงกันจากคนรอบตัว ร่องรอยของ "วจีกรรม"

ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ผ่านตัวหนังสือตามกระทู้ออนไลน์นั้น มีให้เห็นมากมายเหลือเกินค่ะ

 

น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แม้การถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาษาและตัวหนังสือ

การเขียนให้ดีให้ร้ายคนอื่นผ่านโลกของอินเตอร์เน็ทนั้น ก็นับเป็นกรรมทางวาจา

และสามารถให้ผลที่เร็วและแรงได้เสียยิ่งกว่าการพูดกันในโลกความเป็นจริงเสียอีก

 

เหตุที่เป็นเช่นนั้น คุณดังตฤณเคยเปรียบเทียบให้เราลองนึกตามกันดูง่าย ๆ ค่ะว่า

ถ้าเราพูดเบา ๆ ว่า "ไอ้โง่" ก็อาจมีเราคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง

แต่ถ้าเราพิมพ์คำว่า "ไอ้โง่" ลงในกระทู้เว็บบอร์ดที่มีผู้คนสนใจเข้าเยี่ยมชมคับคั่ง

มีผู้มาเยือนวนเวียนเข้ามาอ่าน ซึมซับรับรู้กันเป็นหลายวันหลายสัปดาห์มากหน้าหลายตา

เราจะไม่มีโอกาสปรับเสียงนั้นให้ดังหรือเบาตามใจชอบได้เลย

 

และนั่นก็เท่ากับ เราทำอกุศลกรรมกับคนหมู่มาก แบบไม่เลือกหน้า เข้าให้แล้ว

เพราะคำบริภาษเหล่านั้น อาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ

และความแสลงใจของคนจำนวนนับไม่ถ้วนนี่แหละค่ะ

ที่จะย้อนกลับมาให้ผลให้ผู้ก่อวจีกรรมต้องรู้สึกแสลงใจยิ่งไปกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก

 

เรื่องของกรรมและการให้ผลนั้นละเอียดกว่าที่เราคิดนะคะ

ใครจะคิดว่า แค่พิมพ์คำพูดไม่กี่คำง่าย ๆ พรวดลงไปผ่านอินเตอร์เน็ทโดยไม่ทันคิด

แม้ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็เป็นเหตุนำมาซึ่งความไม่เป็นสุขของชีวิตได้แล้ว

 

สังเกตไหมคะ เวลาจับวงคุยกันกับเพื่อน ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้ากัน หรือว่าออนไลน์

ถ้าชวนกันเมาท์เรื่องอกุศล เช่น ชวนกันนินทาจับผิดเพ่งโทษผู้อื่น จิตก็พากันเป็นอกุศลไปทั้งวง

แต่ถ้าชวนกันเมาท์เรื่องดี ๆ เช่น ไปงานกฐินมาบรรยากาศเป็นยังไงบ้าง หลวงพ่อสอนอะไร

หรือแม้แต่กระทู้ต่าง ๆ ที่คุยกันถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของในหลวง

เวลาที่ออกจากวงนั้นหรือกระทู้นั้น มันชวนให้จิตใจคนอ่านคนฟังพลอยเบิกบานกันไปหมด

 

คำพูดทุกคำพูดที่ถ่ายทอดความคิดของเรา

มีผลกับคนรอบข้างเราทั้งสิ้นนะคะ

และยิ่งเราคิด พูด ทำ ไปในทางกุศล หรืออกุศล มากเท่าไหร่

คุณภาพจิต และชีวิตทั้งหมดของเรา ก็ยิ่งมีความเป็นไปในทางนั้นมากขึ้น

 

อีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากกระแสเสียงของคนกลุ่มหนึ่งผ่านกระดานสนทนาเหล่านั้นก็คือ

การปรุงแต่งด้วยอาการที่เต็มไปด้วยความรู้สึกชอบชังที่รุนแรง

โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เป็นแฟนคลับดาราคนโปรดของตน

ที่สามารถมองข้ามความเป็นเหตุเป็นผล หรือการตรองอย่างเป็นกลางไปได้อย่างง่ายดาย

 

ถ้าหลาย ๆ เรื่องในชีวิต เราเลือกที่จะมองข้ามความจริง ก็นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายนะคะ

ภาพดีที่ลวงตา อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการได้รับการตักเตือนเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง

และการมองที่บิดเบี้ยว ก็อาจทำให้เราไม่มีโอกาสได้ตักเตือนคนที่เรารักให้พัฒนาตัวเองด้วย

 

พุทธศาสนาสอนเราว่า อคติมีอยู่ ๔ อย่าง

๑. อคติเพราะ ความรัก

๒. อคติเพราะ ความโกรธ

๓. อคติเพราะ ความหลง ความเขลา เบาปัญญา และ

๔. อคติเพราะ ความกลัว

 

รักมาก... ความรักก็กลบข้อบกพร่องทั้งปวงไปจากสายตา

โกรธมาก... ความโกรธก็ตีค่าการทำดีของอีกฝ่ายให้เป็นลบได้ในพริบตา

หลงมาก... ความหลงก็กลบปัญญาในการไตร่ตรอง ฟังมาอย่างไรก็เชื่อตามอย่างง่ายดาย

กลัวมาก... ความกลัวก็บั่นทอนความมั่นใจ บีบให้ไม่กล้าคิดอ่านทำการตรงไปตรงมา

 

โลภ โกรธ หลง นั้นเอง คือกิเลสที่ทำให้จิตบิดเบี้ยว

มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริง แต่มองเห็น ตามอยาก

และแน่นอนค่ะว่า ยิ่งกิเลสเหล่านี้รุนแรงขึ้นเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น

 

และเมื่อยิ่งห่างไกลออกไปจากการเห็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ตามความเป็นจริง

หนทางที่จะไปสู่การเป็นอิสระจากทุกข์อันเป็นของจริงแท้ ก็ยิ่งลางเลือน

 

กว่านิตยสารฉบับนี้จะไปถึงมือคุณผู้อ่าน

ข่าวดังของดารากลุ่มนี้ก็คงห่างหายไปจากสื่อกันแล้วนะคะ

ที่จริงถ้าถอดหัวโขนของความเป็นดาราออกไป เราก็ไม่ต่างอะไรกับเขาและเธอเหล่านั้น

ทุกคนต่างมีจิตอันเป็นธรรมชาติเดียวกัน ที่มีโลภะ โทสะ โมหะ ครอบครอง

ไม่มีนางเอก นางร้าย มีแต่คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ตามกิเลสและจิตสำนึก

 

ไม่ว่าจะมายา หรือชีวิตจริง ทุกสิ่งก็เป็นเหมือนความฝันเหมือนกันหมด

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยบอกนะคะว่า คนในโลกนี้ แทบจะไม่มีใคร "ตื่น" จริง ๆ เลย

มีแต่คน "หลง" อยู่ในโลกของความคิด "หลง" อยู่ในโลกของความฝันกันทั้งนั้น

ท่านเคยเปรียบไว้ให้ฟังอย่างน่าคิดค่ะว่า ความฝัน คือความคิดเมื่อยามหลับ

ความคิด คือความฝันเมื่อยามตื่น

 

ตราบเท่าที่เรายังไม่สามารถมี "สติตัวจริง" ที่สามารถรู้เท่าทันสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

กับกายกับใจของเราตามความเป็นจริง จนใจมันยอมรับในความเป็นไตรลักษณ์ได้

เราจะก็ยังคงหลงติดอยู่กับความฝันที่เราสร้างขึ้นมาเป็นกับดักกักขังตัวเอง

ที่จะไม่มีวันหาทางออกไปสู่อิสระและความสุขที่แท้จริงของใจได้เจอเลย...

 

(เฮ้อ! ....)

หมายเลขบันทึก: 317634เขียนเมื่อ 2 ธันวาคม 2009 11:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 00:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่าน


ความเห็น
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

อนุโมทนาที่นำสาระดี ๆ มาแบ่งปัน

ขอบพระคุณค่ะ

แล้วจะนำสาระดีๆ มาแบ่งปัน

เรียกสติตัวจริง มาฝากผู้อ่านเรื่อยๆนะคะ 555

เวลาอ่านแล้วเกิดกุศล อกุศลจิตก็คอยรู้ทัน

เป็นการฝึกเจริญสติที่ดีเลยนะครับ

ขอบพระคุณครับ

ถ้าทำได้ ดูได้นะคะ

ขยันดูจิตบ่อยๆ ดูอารมณ์บ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ รู้เท่าทันสม่ำเสมอ

1.ไม่ไปจ้องก่อน

2.ไม่ไปเพ่งไว้

3.ไม่เข้าไปแทรกแซง

ดูกาย ดูใจ รู้ปัจจุบัน ด้วยใจที่เป็นกลาง

มีโอกาสหลุดพ้นแน่นอนค่ะ ชาตินี้ 555

นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ค่ะ

อ่านแล้วดีมาก สาูธุจ้า....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท