ใครจะคิดบ้างว่า มาโรงพยาบาลจะได้มานั่งหัวเราะ แต่ที่นี่ ตึกเขียวเรา เกือบจะทุกวันศุกร์ ถ้าพี่เฉลิมศรี จิตตมานนท์กุล จิตอาสาของเรา ไม่ติดธุระจริงๆ เราก็จะได้เห็นภาพคนไข้นั่งหัวเราะกันที่หน้าห้องตรวจ พวกเราก็จะได้อานิสงส์ จากคนไข้ หัวเราะกันไปด้วย
การหัวเราะมี 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และ หัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนประเภท "ปลุกเร้า" เพื่อบำบัดจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย
หัวเราะบำบัด นี่แหละค่ะ ที่พี่เฉลิมศรี เป็นวิทยากร นำคนไข้เราหัวเราะ
การหัวเราะมีประโยชน์ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในถึง 7 ระบบได้แก่ ระบบทำงานของสมอง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย ระบบไหลเวียนเลือด ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ ระบบเจริญพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
การหัวเราะบำบัด ใช้เสียง โอ อา อู เอ ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก มาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด
เสียงโอ/ท้องหัวเราะ เสียงอา/อกหัวเราะ เสียงอู/คอหัวเราะ เสียงเอ/ใบหน้าหัวเราะ นอกจากนี้ ยังมี สมองหัวเราะ ตาหัวเราะ จมูกหัวเราะ เอวหัวเราะ ก้นหัวเราะ ไหล่หัวเราะ สรุปแล้ว ทุกส่วนบนร่างกายเราหัวเราะได้หมด (รวมถึง ใจหัวเราะ ด้วยหรือเปล่าน๊า)
แต่พี่น้อยว่า ท่าใบหน้าหัวเราะน่าจะง่ายและเหมาะที่สุด เพราะเมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เค้าบอกว่า เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น ต้องฝึกบ่อยๆ ซะแล้ว
เค้าบอกว่าการฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูหนังตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดังด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก
เรามาฝึก ให้อวัยวะส่วนไหนของเราหัวเราะกันดีคะ
(ขอบคุณข้อมูล จาก http://www.panyathai.or.th/)
เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเค้าหัวเราะกัน วันก่อนเดินเข้ามาในตึกคิดว่าเค้าเป็นอะไรกันไปหมดทั้งตึกน้อ ยืนหัวเราะกันเป็นแถว เพราะพี่เฉลิมศรีนี่เองนิ