เพลี้ยแป้ง
จากการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านมันสำปะหลังได้ข้อมูลที่พอจะเป็นประโยชน์มาแลกเปลี่ยนกันดังนี้ครับ ในปี 2550-2551 ประเทศไทยปลูกมันสำปะหลังประมาณ แปดล้านไร่ ในพื้นที่ 45 จังหวัด และเริ่มพบการระบาดของเพลี้ยมันสำปะหลังในพื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดกำแพงเพชร พื้นที่อำเภอคลองลาน, ขาณุฯ และอำเภอเมือง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา ที่อำเภอปากช่อง, สีคิ้ว, ด่านขุนทด ภาคตะวันออก พื้นที่จังหวัดชลบุรี, ระยอง, ฉะเชิงเทรา, สระแก้ว, จันทบุรี และภาคกลางที่จังหวัดลพบุรี อำเภอท่าหลวง, สระโบสถ์ และลำสนธิ ฯลฯ
การระบาดแพร่กระจายไปสู่จังหวัดใกล้เคียงอย่างรวดเร็วน่าตกใจ ในขณะที่ผู้เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหากับศัตรูมันสำปะหลังตัวนี้ กลับมัวแต่รอตำตอบเรื่องสายพันธุ์ (species) ของเพลี้ยแป้งที่ส่งไปวิเคราะห์ต่างประเทศ (ได้รับคำตอบ 2552)
มาตรการต่างๆ ที่ชัดเจนในระดับหนึ่งของ กรมวิชาการเกษตรโดยสถาบันวิจัยพืชไร่ได้ออกมา ส่งสัญญาณเตือนให้เฝ้าระวังการเคลื่อนย้ายต้นพันธุ์ของเกษตรกร จากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง และการแช่ท่อนพันธุ์ ก่อนที่เกษตรกรจะนำไปปลูกในพื้นที่ด้วยสารเคมี แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจาก ทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและเกษตรกร ที่กลับเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ทุกคนต่างมุ่งไปที่การปลูกแบบเดิมๆ การเคลื่อนย้ายต้นพันธุ์แบบเดิมๆ โดยเฉลียวใจว่าในอนาคตอันใกล้ ประเทศที่มีการปลูกมันสำปะหลังที่เป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ด้านการส่งออกอย่างประเทศไทย จะประสพปัญหาเพลี้ยแป้งระบาดทำลายมันสำปะหลังอย่างหนักหน่วง เหมือนประเทศในแถบทวีปแอฟฟริกา หรือบราซิลตอนเหนือ ที่กว่า จะตั้งตัวได้ต้องใช้เวลา 2-3 ปี ส่งผลให้เกิดความเสียหายไปกว่าแสนล้านบาท
เพลี้ยแป้งสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่เคยมีการระบาด ในทวีปแถบแอฟฟริกามาก่อน ดังกล่าว อาจเรียกได้ว่าเป็น (Affrican species) ซึ่งขอสงวนที่จะไม่กล่าวถึงชื่อทางวิทยาศาสตร์ในที่นี้ พฤติกรรม การทำลายของมันต่างจากสายพันธุ์เดิมๆ ที่เคยมีในประเทศ อย่างเช่น (Ferrisia virgata) (Pseudo coccus sp.) (Phenacoccus solenopsis) และเจ้าตัวร้านที่สร้างความบอบช้ำให้พี่น้องเกษตรกรอยู่ในขณะนี้เราจะเรียกมันว่า (เพลี้ยแป้งสีชมพูมันสำปะหลัง)
เพลี้ยแป้งสีชมพูมันสำปะหลัง
- เป็นแมลงที่ใช้ปากดูดน้ำเลี้ยงจากพืชอาศัย
- สามารถออกไข่ได้ 600-800 ฟอง ต่อหนึ่งตัวในเวลาเพียง 14 วัน
- ใน 1 ถุง ไข่จะมีประมาณ 25-500 ฟอง
- ใช้เวลาในการฟักไข่ประมาณ 6-10 วัน ก็จะออกมาเป็นตัวอ่อน
- ระยะตัวอ่อน 35-40 วัน
- ตัวเมียลอกคราบ 3 ครั้ง จะเริ่มออกไข่ใหม่
- ตัวผู้ลอกคราบ 4 ครั้ง ตัวผู้เล็กกว่าตัวเมีย บางตำรา ตัวผู้ลอกคราบครั้งที่ 4 แล้วจะมีปีก และบางตำราบอกไม่มีตัวผู้ (งานนี้นักกีฏที่รับผิดชอบงานเข้า... เพราะจะต้องหาความกระจ่างนอกเหนือที่จะมานั่งปลูกพืชในกระถางเพื่อทดลองสารกำจัดแมลงแล้วไปแนะนำให้เกษตรกรใช้)
- ไม่ต้องมีการผสมพันธุ์ (ยิ่งน่ากลัวกว่า)
- ตัวเต็มวัยบนหลังจะมีมูลหวานที่ถ่ายออกมา (แป้ง) ปกคลุมบนหลัง
- วงจรชีวิต 60 วัน
- พาหะของการระบาดเกิดจาก ฝูงมดที่มากินมูลหวานแล้วคาบตัวอ่อนกลับไป ลม และน้ำ
- แหล่งอาศัย ในดินอาศัยดำรงชีพกับพืช หรือรากพืช เช่น แห้วหมู ฯลฯ
- พืชอาศัย มีกว่า 15 ชนิด เช่น ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า มะม่วงหิมพานต์ ลีลาวดี ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่ สะเดา
- เพลี้ยแป้งมี 2 ชนิด
1. ชนิดออกไข่ และฝักออกเป็นตัว (ไม่ต้องอาศัยเพศ)
2. ชนิดที่ออกมาเป็นตัว (ไม่ต้องอาศัยไข่)
คุณสรรเสริญ สุนทรทยาภิรมย์
ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายปฏิบัติการฝ่ายไร่ บริษัทโชคชัยสตาร์ท จำกัด
อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และที่ปรึกษารองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
สวัสดีค่ะ
*** แวะมาศึกษาเรื่องมันๆ
*** ยุ่งยากน่าดูนะคะ
ซำบายดีบ่ คุณอ๋อย การใช้บิวเวอร์เรียไดผลดียืนยัน
อยากได้เบอร์ติดต่อ อ.สรรเสริญ ค่ะ
ขอบคุณมากครับสำหรับทีมงานที่เผยแพร่สิ่งดี ๆ ที่มีสาระความรู้ให้กับเกษตรกรที่รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ อยากให้เน้นเรื่องการป้องกันก่อนปลูกให้มากเนื่องจากเกษตรกรเริ่มตื่นตัว (หลังจากแทบหมดตัวในฤดูการปลูกที่ผ่านมา) ถึงวันนี้สิ่งที่ผมเคยเตือนไว้ในขณะบรรยายแต่ละที่ก็แสดงผลออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงของการระบาดจะเพิ่มขึ้น หรือเกษตรกรจะเห็นราคามันสำปะหลัง 2 บาท/กก.ที่พูดไว้ตั้งแต่ราคา 1 บาท หรือ วิกฤติต้นมันทำพันธุ์จะเกิดในปี 2553 มูลค่าของต้นพันธุ์จะมากกว่าหัวมันในดิน(ราคาต้นพันธุ์ขณะนี้ไร่ละ 5-6000 บาท หาดีไม่ได้อีกด้วย ในขณะที่หัวมันในดินได้เพียง 4-5000 บาท) ล้วนเป็นการคาดเดาก่อนการระบาดรุนแรงทั้งสิ้น และในปีหน้าราคามันก็น่าจะมี เฉียด ๆ 3 บาท/กก. หรือสูงกว่านั้น ถ้าฝนยังทิ้งช่วง สถานการณ์การระบาดก็ยังคงเดินหน้าต่อไป และขอให้พี่น้องเกษตรกรระวังแมลงปากดูดตัวอื่น เช่น ไรแดง และแมลงหวี่ขาวด้วย การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนสามารถทำได้ โดย เกษตรกรต้องไม่ไถกลบต้นมันที่มีการระบาดไว้ในดิน ตากดินและไถพรวนมากครั้งขึ้น แช่ท่อนพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารเคมีหรือชีวภัณฑ์ ใส่ปุ๋ยให้พืชเจริญเติบโตสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง และระยะการปลูกที่เหมาะสม ไม่ปลูกถี่ เพราะจะทำให้การจัดการเมื่อมีการระบาดยากขึ้น เกิดการแย่งแสง แย่งอาหารในพืช สุดท้ายอาหาร(ปุ๋ย)ไม่พอ หัวเล็กลีบ อ่อนแอต่อการระบาดของโรคและแมลง สนใจเรียนรู้เรื่องมันสำปะหลังและการจัดการ ลองเข้าไปอ่านที่ www.cassava-devlp-center.com จะได้ทราบความเคลื่อนไหวทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขณะนี้เพราะจะมีการอัพเดทข้อมูลวิชาการทุกเดือน หรือสอบถามไปที่ 089-9037270 ยืนดีให้คำตอบ ขอบคุณทีมงานอีกครั้งครับ
อ.สรรเสริญ สุนทรทยาภิรมย์
อยากได้สารไคตินติดต่อซื้อที่ไหนได้บ้างครับ ผมอยู่โคราชครับ