อนาคตที่มืดมนของเด็กไทย


ถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขตั้งแต่วันนี้ อนาคตลูกหลานของเราแย่แน่

อนาคตที่มืดมนของเด็กไทย

การทำข้อตกลงการค้าเสรีของอาเซียน กำลังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่สำหรับเด็กไทย

ทราบหรือไม่ว่าการทำข้อตกลงการค้าเสรีของอาเซียน ที่หลายฝ่ายพยายามเร่งรัดให้เกิดขึ้นในปี 2015 นี้กำลังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่สำหรับเด็กไทย

ยังไงเหรอครับ

การทำเขตการค้าเสรีใดๆ ก้อตาม เป้าหมายต่อไปก็คือการทำข้อตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีนำเข้าเดียวกัน และการทำตลาดร่วม ดังเช่นที่เกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งในปัจจุบันก้าวหน้าไปถึงการตั้งเป็นสหภาพยุโรปที่นอกจากจะใช้ระเบียบว่าด้วยการนำเข้าสินค้าเดียวกันทุกประเทศ ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนของประเทศสมาชิกทั้ง 27 ประเทศสามารถเดินทางไปมาหาสู่ ตลอดจนไปทำงานในประเทศสมาชิกอื่นๆ ได้อย่างเสรี

แล้วมันจะมีผลต่อเด็กไทยอย่างไรเหรอครับ

ผมเพิ่งเดินทางไปอังกฤษเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ผมได้กลับไปที่นั่น และสิ่งที่ผมได้พบเห็นนั้นทำให้ผมอดเป็นห่วงเด็กไทยของเราไม่ได้ ก็คือว่า การไปอังกฤษครั้งนี้ผมพบว่าพนักงานโรงแรมทุกแห่งที่ผมไปพัก ตลอดจนคนทำงานอื่นๆ กลับไม่ใช่คนอังกฤษเสียแล้ว จริงอยู่ที่เมื่อก่อนมีคนจากอินเดียหรือจากประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเข้าไปทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันกลับเป็นพวกชาวยุโรปจาก 27 ประเทศที่เข้าไปแย่งงานทำ จนคนอังกฤษแท้ๆ เองตกงานกันเป็นแถว

คราวนี้ลองมาดูบ้านเรานะครับ ในอีก 15 - 20 ปีข้างหน้า อาเซียนของเราก็คงจะก้าวไปสู่การเป็นตลาดร่วมและเป็นประเทศสหภาพอาเซียนในที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น เด็กของเราในเวลานี้ก็จะกลายเป็นคนในวัยทำงาน แต่แทนที่จะแข่งขันกันอยู่ภายในประเทศเช่นในปัจจุบัน พวกเขาจะต้องมีคู่แข่งเพิ่มเติมในการแย่งหางานดีๆ โดยจะเป็นคนมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่างานที่ดี จะต้องการคนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดี

แต่ในปัจจุบันการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยเรียกได้ว่าล้าหลังเด็กๆจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียนทั้งหมด ครับโหล่ท้ายสุด สุดท้ายจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ลาวหรือกัมพูชา ส่วนประเทศอื่นๆที่กล่าวข้างต้นไม่ต้องพูดถึง ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น เพราะเขาใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และยังเรียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

ที่เป็นอย่างนี้เพราะส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้น ตลอดจนไม่มีคนที่ต่างเชื้อชาติและภาษา จนต้องนำภาษาอังกฤษมาใช้เป็นภาษากลางเช่นในสิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือการที่คนไทย "ขี้อาย" หลายคนเรียนภาษาอังกฤษมากกว่า 10 ปี แต่พอบอกให้ลองพูดดูซิ ไม่กล้าพูด โดยมักบอกว่าอาย ไม่กล้าพูด หรือกลัวพูดผิด ซึ่งมันต่างกันมากกับบางสังคมเช่น ประเทศจีน ซึ่งคนของเขามีความกระตือรือล้นอย่างมากที่จะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ เวลาชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตกไปเมืองจีน มักมีคนจีนเข้ามาห้อมล้อมเพื่อที่จะขอพูดภาษาอังกฤษด้วย แม้เพียงสองสามคำก็ยังดี ถ้าเป็นคนไทยเหรอครับ รีบหนีก่อนเลย ผมเคยเห็นคนที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วยซ้ำที่ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ!

เมื่อไรเราถึงจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็กของเรา "พูด" ภาษาอังกฤษให้ได้เสียที เห็นส่วนใหญ่เราสอนจากบทเรียนให้สอบได้ แต่พอให้พูดก็กลับพูดไม่ได้ บางทีผมคิดว่าครูเองก็อายที่จะพูดภาษาอังกฤษ เด็กของเราก็เลยติดนิสัยนี้มาจากครู

ถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขตั้งแต่วันนี้ อนาคตลูกหลานของเราแย่แน่ครับ เพราะผลพวงของการทำเขตการค้าเสรีอาเซียน จะทำให้อีกไม่นานจะมีชาวต่างชาติเข้ามาแย่งงานทำในบ้านเราได้อย่างเสรี แล้วบริษัทต่างชาติใหญ่ๆ ในประเทศเราเขาก็คงเลือกคนที่ภาษาอังกฤษดีๆ ซึ่งคงไม่ใช่คนไทยถ้าเราไม่เร่งทำอะไรเพื่อเด็กของเราวันนี้ 

หมายเลขบันทึก: 310994เขียนเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2009 00:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 เมษายน 2012 23:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นห่วงเด็กไทย เพราะ "ผู้ใหญ่" ไทตัวเป็นตัวอย่าง ตีรวน กวน ใน ส..ภ.. งานไม่ก้าวหน้า เงือนเดือนแพงครับ

ปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ ที่ยังวิกฤต..แต่ที่วิกฤตกว่า..เด็กไทย..อ่านภาษาไทย "ไม่แตก" นี่สิครับท่าน

แถมยังมี "ภาษาไทยวัยรุ่นสำเนียงเน็ต"อีกสารพัด..

แต่ก็อย่างท่าน JJ ว่า.."ชีวิต...ดั่งสายน้ำไหล"

กรุงศรี ..ไม่สิ้นคนดี

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท