ดาลัต โฉมใหม่
เมื่อ วันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2545
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือนเมืองดาลัต (DALAT) จังหวัดลามดง (LAM DONG)
ประเทศเวียดนามเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21-27 กันยายน 2546
เป็นครั้งที่สอง และวันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2546
เป็นครั้งที่สาม
ดาลัต
มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงผิดแผกไปจากการเยือนครั้งแรกเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้สวยงามขึ้นจนจำแทบไม่ได้
ดาลัตเป็นเมืองที่ถูกพัฒนาโดยชาวฝรั่งเศสเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน
ปัจจุบันเป็นแหล่งผักผ่อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนาม
เป็นเมืองสวยงาม เงียบสงบ อาคารบ้านเรือนมีรูปแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส
ขณะที่อยู่ในเมืองดาลัต
มีความรู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ในประเทศฝรั่งเศสมากกว่าเวียดนาม
อยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ 300 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ถึง
5 ชั่วโมง หรืออาจเดินทางโดยเครื่องบิน
ซึ่งมีบินจากนครโฮจิมินห์และนครฮานอยถึงดาลัต วันละ 1 เที่ยวบิน
ดาลัต ถูกห้อมล้อมโดยขุนเขาที่เขียวขจี เต็มไปด้วยป่าสน ทะเลสาบ
พืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ และพลับจีน ซึ่งเมื่อถึงฤดู
(ปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) จะสุกเหลืองอร่าม สวยงามไปทั้งขุนเขา
ความสวยงามและสงบร่มเย็นของดาลัตนี้เองที่ทำให้ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสมีโครงการที่จะสถาปนาให้ดาลัตเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์รัฐอินโดจีน
ที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เมื่อราวปลายศตวรรษที่ 19
เนื่องจากความสวยงาม โรแมนติก และตรึงตาตรึงใจของดาลัตนี้เอง
ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทุกแห่งของโลกมาเที่ยวชมกันมากมาย
รวมไปถึงคู่สมรสชาวเวียดนามมักจะนิยมมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
หรือฮันนี่มูนกันมาก นอกจากนี้
ดาลัตยังเป็นเมืองที่เป็นแหล่งประวัติศาสตร์อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ
เป๋าได่ จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหวียน (Nguyen Dynasty)
อีกด้วย
ในโอกาสที่มาเยือน ดาลัต เป็นครั้งที่สามนี้
ผู้เขียนได้นำคณะไปดูการปลูกไม้ดอกและพืชผักเมืองหนาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อติโชค (Artichock)
ซึ่งเป็นพืชที่ทำเงินให้กับเกษตรกรเมืองดาลัตค่อนข้างสูง
อติโชค ปลูกได้ดีในพื้นที่สูง ที่มีอากาศเย็นตลอดปี ในเวียดนาม
ดาลัตเป็นพื้นที่แห่งเดียวที่ปลูกอติโชคได้ผลดี
ดินที่เหมาะในการปลูกอติโชค คือดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี อติโชค
เป็นพืชตระกูลผัก โดยทั่วไปไม่ค่อยนิยมบริโภคสด
ใบมีลักษณะคล้ายใบกุยช่ายที่มีขนาดใหญ่ มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 9
เดือน ดังนั้น จะพบว่า เกษตรกรจะปลูกสลับไปกับพืชผักชนิดอื่น ๆ
ไม่นิยมปลูกเป็นแปลงใหญ่ เพราะทำเงินได้ช้า
เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะออกดอกมีลักษณะเป็นกลีบ ๆ
ขนาดใหญ่กว่าลูกเทนนิส ความสูงเมื่อโตเต็มที่จากโคนต้นถึงปลายดอก
ประมาณ 80-100 เซนติเมตร โดยทั่วไปนิยมนำดอกมาทำชาชงดื่ม ส่วนใบ ต้น
และราก สามารถนำมาทำชาได้เช่นกัน อติโชค
มีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรใช้ดื่มแก้กระหาย บำรุงตับ ไต หัวใจ
ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ดี พันธุ์ดั้งเดิมนำมาจากประเทศฝรั่งเศส
ในประเทศไทยโครงการหลวงเคยนำมาปลูกได้ผลพอสมควร
แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากคนไทยไม่รู้จักบริโภค แต่ในเวียดนาม
ชาอติโชคเป็นที่นิยมดื่มกันมาก จำหน่ายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละประมาณ
150 บาท อติโชคไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช
จึงไม่มีการใช้สารเคมี
อติโชคจึงนับว่าเป็นพืชที่มีอนาคตสำหรับประเทศไทย
หากมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยรู้จักการบริโภคเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นของใหม่และของแปลกของเมืองดาลัต
ซึ่งบ้านเราไม่มีก็คือ กระเช้าลอยฟ้า
รัฐบาลเวียดนามได้ลงทุนก่อสร้างเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองดาลัต
กระเช้าลอยฟ้าสร้างจากยอดเขาลูกหนึ่งไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่ง
มีระยะทางประมาณ 2,300 เมตร
เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อตอนที่ผู้เขียนไปเยือนเมืองดาลัต
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 และเปิดให้บริการเมื่อประมาณเดือนกันยายน
2546 ที่ผ่านมานี้เอง อัตราค่าโดยสารก็ไม่แพง เพียง 30,000 ดอง
(ประมาณ 80 บาท) ต่อเที่ยว
กระเช้าแบบนี้เคยมีโครงการจะสร้างขึ้นที่ภูกระดึง จังหวัดเลย
และดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ แต่ได้รับการต่อต้านจากคนบางกลุ่มบางพวก
จึงทำให้ต้องพับกันไป
แต่จากการที่ได้ขึ้นไปนั่งชมทัศนียภาพของเมืองดาลัตแล้ว
ผู้เขียนมีความเห็นว่าควรจะรื้อฟื้นโครงการนี้อีก
เพราะดูแล้วการก่อสร้างไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างที่นักต่อต้านทั้งหลายพูดกันเลย
สงสัยว่าพวกที่ต่อต้านคงจะคิดว่าถ้ามีการก่อสร้างคงจะต้องตัดไม้ตลอดแนวทาง
หรืออาจไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
นอกจากเห็นในรูปเท่านั้น
ผู้เขียนได้สอบถามเจ้าหน้าที่บริษัทของรัฐบาลที่ดำเนินการทราบว่าเขาตัดต้นไม้เฉพาะบริเวณที่จะตั้งเสาสลิงเท่านั้น
ไม่ได้มีความเสียหายอะไรมากมายเลย
เพราะระดับของกระเช้าอยู่สูงกว่ายอดของต้นสนมาก
มองดูแล้วการวางท่อก๊าซธรรมชาติ
ต้นไม้ยังถูกตัดเสียหายมากกว่าการก่อสร้างสลิงของกระเช้าลอยฟ้าเสียอีก
นอกจากนี้ ข้อดีที่เห็นคือ
นักท่องเที่ยวที่นั่งกระเช้าลอยฟ้ายังได้ชมทัศนียภาพของเมืองและป่าเขาอันสวยงามโดยรอบ
ต่างจากการให้คนเดินย่ำไปในพื้นที่ป่า ซึ่งต้นไม้และพืชพรรณต่าง ๆ
จะถูกผู้ที่เดินเหยียบย่ำเด็ดหรือหัก
อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเป็นอันมาก ที่สำคัญคนแก่คนเฒ่า เด็ก
หรือคนพิการที่ไม่สามารถเดินขึ้นภู ขึ้นเขาได้
ก็ยังได้มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสธรรมชาติอันสวยงามบนภูได้ด้วย
และแน่นอนหากสร้างที่ภูกระดึง
คนที่อยากไปเที่ยวภูกระดึงไม่จำเป็นต้องไปพักแรมข้างบน
เพราะสามารถขึ้นไปชมและกลับลงมาได้ในเวลาไม่นาน
ขยะที่เกิดจากคนมักง่ายที่ขว้างทิ้งระหว่างเดินทางก็ไม่มี
ผู้คนก็จะมาเที่ยวพักผ่อนมากขึ้น
คนในท้องถิ่นก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งจะทำให้การท่องเที่ยวมีความเสมอภาคสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศ
ทุกวัย และผู้พิการด้วย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเรื่องแปลก ๆ หลายเรื่องเกิดขึ้น
แตกต่างไปจากประเทศอื่น ๆ กล่าวคือ
เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่น่าทำกลับถูกขัดขวางโดยคนจำนวนน้อยนิด
หากเปรียบเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ก็ต้องสะดุดหยุดกันไป
พวกค้านก็ค้านจนไม่ลืมหูลืมตาดูชาวบ้านข้างเคียงว่าเขาพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว
ส่วนเรื่องบางเรื่องที่ไม่เข้าท่า
และไม่เคยเห็นที่ไหนเขาทำกันกลับไม่มีคนคัดค้าน ตัวอย่างเช่น
ทุกประเทศเขาพยายามที่จะสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีขนาดใหญ่ในเมืองใหญ่
ๆ แต่ประเทศไทยกลับเปลี่ยนการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ให้เป็นขนาดเล็ก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการขนส่งมวลชนด้วยรถเมล์ขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครครั้งละเป็นร้อยคนด้วยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเพียงเครื่องเดียวมาเป็นขนส่งมวลชนด้วยรถตู้ขนาดเล็ก
ครั้งละ 12 คน หากเปรียบเทียบกับรถเมล์ขนาดใหญ่ จะต้องใช้รถตู้ถึง 10
คัน เป็นอย่างน้อย ดูซิว่าเราเสียค่าน้ำมันไปเท่าไร
การจราจรก็ติดขัดมากขึ้น และยังทำของผิดกฎหมาย
(วิ่งทับเส้นทางชาวบ้าน) ให้ถูกกฎหมายได้อีกด้วย แต่ไม่มีคนคัดค้าน
มหัศจรรย์มาก
แปลกจริง เริ่มต้นด้วย "ดาลัต โฉมใหม่" แต่เหตุไฉนมาจบเอาที่
"โฉมใหม่ของกรุงเทพมหานคร" ซะได้
ท้ายนี้ ขอแจ้งให้ท่านที่สนใจ ท่องเที่ยวดูงานเกษตรเวียดนาม
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2547 เดินทางโดยรถยนต์จาก
กรุงเทพมหานคร-สุวรรณเขต-ดานัง-เว้-ไฮฟอง-ฮาลองเบย์-ฮานอย
และเดินทางกลับโดยเครื่องบินฮานอย-กรุงเทพมหานคร รวม 7 วัน รับจำนวน
25 คน ท่านั้น สนใจติดต่อ โทร. (01) 899-0710