ฝนตั้งเค้าก่อตัวเป็นเมฆดำ
และในไม่กี่วินาทีต่อมาฝนมันก็เริ่มตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัวฝนก็กระหน่ำตกลงมาสักพักก็หอบพายุมาถาโถมยิ่งเพิ่มความแรงให้มากขึ้นกว่าเดิม
หากแต่ตัวเองกำลังเดินอยู่กลางสายฝนเนื้อตัวเปียกจนรู้สึกเหน็บหนาวมันหนาวลึกลงไปถึงข้างในจิตใจ
ปากก็เริ่มสั่น มือก็เริ่มเหน็บ
ดูท่าทางฝนจะตกหนักและคงจะอีกนานกว่าจะหยุด
ตั้งใจว่าจะเดินสักพักแล้วค่อย ๆ วิ่ง
แต่ฝนมันแรงพายุก็กระหน่ำจนหมดเรี่ยวแรงที่จะก้าวขาเดิน
เหน็บหนาวจนแทบจะเดินต่อไม่ไหว
ทั้งหนาวทั้งเจ็บด้วยเม็ดฝนที่สาดใส่เข้ามาโดนเนื้อตัวเม็ดแล้วเม็ดเล่า
หนาวจนแทบจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นดิน
แต่ก็พยายามฝืนตัวเองเพื่อเดินต่อไป นี่คือชีวิตคนกลางสายฝนและพายุ
ณ
ขณะนั้นมันเป็นวิถีชีวิตที่เลือกไม่ได้
ในโลกกว้างแต่ยังมีห้องแคบ ๆ ของใครคนหนึ่ง ในขณะที่นั่งสอนนักศึกษา ในตอนเช้าของวันนี้ วิชา มนุษยสัมพันธ์ในการทำงาน ให้นักศึกษาเขียนบทความการใช้หลักมนุษยสัมพันธ์เพื่อนการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข ขณะที่นั่งอ่านบทความของนักศึกษาในชั้นเรียน พบว่า มีความแตกต่างกันทางด้านความคิด การรับรู้ สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน บางคนก็เขียนมาน่าอ่านมาก แต่บางคนก็เขียนแบบอ่านไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็พอจับใจความได้ก็อดที่จะยิ้มกับสำนวนของเด็กไว้เสียมิได้ แต่ในขณะที่ครูนั่งอมยิ้มอยู่นั้น มีเด็กนักศึกษาคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “อาจารย์ครับ...อย่าคาดหวังอะไรมากมายกับพวกผม พวกผมก็เหมือน “กบอยู่ในกะลา” แหละครับอาจารย์” สะดุดมากกับประโยคนี้ “กบในกะลา” จึงเงยหน้าขึ้นถามด้วยความที่อยากรู้ถึงเหตุผลของเด็ก แน่นอนเขาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ภายในคำพูดประโยคนี้ของเขา จะละเลยเฉย ๆ คงไม่ใช่ครูคนนี้แน่ เพราะรู้ว่าเด็กต้องการสื่ออะไรต่ออย่างแน่นอน “ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็น “กบในกะลา” ล่ะ” ... “ก็พวกผมไม่เคยได้ออกไปไหนเลยครับอาจารย์ วัน ๆ หนึ่งก็เรียนอยู่ในแผนก อยู่ในวิทยาลัย ก็เลยเหมือนกบในกะลา”
“กบในกะลา”
นี่คือเหตุผลของเด็กคนหนึ่งที่สะท้อนภาพการจัดการเรียนการสอนที่ได้ถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดที่หวังเพียงให้ครูได้รับรู้และเข้าใจ
ถ้าเพียงแค่ปล่อยให้คำพูดนี้หายไปในสายลม
ในวันนี้ฉันคงเสียใจไปตลอดชีวิต
คำพูดที่ไม่เจือปนด้วยเหล่เหลี่ยมของเด็กมันสะท้อนถึงระบบการศึกษาที่ยังไม่พัฒนาไปไกลสักเท่าไร
คำพูดของเด็กทำให้นึกถึงการจัดการเรียนการสอนนอกสถานศึกษา
การพานักศึกษาออกไปทัศนะศึกษาดูงาน ออกไปเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
จากชุมชนสังคมที่เขาอยู่ เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ได้เห็น
ได้ทดลอง ได้สัมผัสถือว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เยี่ยมยอด
เพื่อนักศึกษาได้มองเห็นเป็นรูปธรรมโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
ทำให้ได้แนวคิดที่กว้างไกล และหลากหลาย
แต่ด้วยในขณะนี้ตนเองทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ก็คงแค่บอกให้เขาให้เข้าใจว่า
“ในเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นกบอยู่ในกะลา...แล้วทำไมไม่หาอะไรมาเพิ่มพูนให้ตัวเองล่ะ
หาหนังสือตำรามาศึกษาแล้วเธอจะได้เพิ่มพูนความรู้ให้เติมเต็มกับตนเองได้อย่างมากมายหลากหลาย
แล้วเธอก็จะไม่เป็นกบในกะลา
หรือไม่ก็เปิดแว๊บไซต์ดูแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ดูโบราณคดี
สถานที่ท่องเที่ยว ดูการทำงานในสถานประกอบการ
การเรียนรู้เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายในแว๊บไซต์ต่าง ๆ
ถ้าเธอได้อ่านได้ดูก็จะกลายเป็นกบนอกกะลาไงจ๊ะ”
เขาก็นิ่งเงียบบอกแค่ว่า “ผมก็เข้าไปครับอาจารย์...แต่เข้าไปเล่นเกม”
จะบ้าตาย!! ฉันพูดต่อเพื่อให้เขาเกิดความคิดขึ้นมาบ้างสักนิด “นั่นแหละที่เขาเรียกว่า..."กบในกะลาตัวจริง"...ถ้าขืนยังไม่เลือกบริโภคข่าวสารความรู้
เธอก็จะเป็นกบในกะลาอยู่นั่นแหละ ทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคมหมด
ตัวเธอเองจะต้องเลือกและตัดสินใจว่าอะไรคือความรู้ที่เป็นแก่นสารสำหรับชีวิต
ก่อนที่จะบริโภคอะไรเข้าไป
ต้องนึกด้วยว่าสิ่งนั้นมีคุณหรือโทษต่อร่างกายเรา
ถ้าเธอยังขืนไม่เลือกบริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับร่างกายเธอก็จะเป็นกบในกะลาตลอดไปค่ะ”
ฉันพูดแค่นี้เอง
เนื่องจากบรรยากาศในชั้นเรียนเงียบสงบด้วยความตั้งใจฟังของนักศึกษา
แต่ในความเงียบครูกลับมองถึงเห็นอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา
“เหตุผลและความเข้าใจ”
เด็กจะไม่ดื้อเพ่งหากแต่ครูใช้เหตุผลและอธิบายให้เขาได้เข้าใจเขาก็จะรับฟังและคิดตามด้วยความเข้าใจ
ปัญหาทุกปัญหามีทางออกที่ดีเสมอหากแค่ได้อธิบายเพื่อให้เข้าใจกัน
และในเวลานี้นี่คือวิถีชีวิตที่เราสามารถเลือกเองได้
"กบนอกกะลา"