เรื่องเล่า
" มีโครงการดีอยากแนะนำให้เหมียวรู้จัก" นั่นคือเสียงของพี่นิตยา ผู้ประสานงานคุณภาพโรงพยาบาล และเป็นต้นเรื่องของทั้งหมดที่นำฉันเข้ามาสู่โลกแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา เมื่อก่อนฉันเป็นเพียงพยาบาลวิชาชีพธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ทำงานแค่ตามหน้าที่ หมดเวร( เช้า - บ่าย - ดึก) งานก็หมดไม่เคยมีความคิดที่จะต้องนำงานกลับไปทำต่อที่บ้านหรือสนใจใครบ้าง วัน ๆ มีแต่ขึ้นเวรกับนอน ฉันเคยถามตัวเองว่าใครนะที่เป็นต้นคิดว่าการทำงานของพยาบาลในแต่ละช่วงเวลานั้นมาเรียกกันว่าขึ้นเวร เพราะฟังดูเหมือนเป็นเวรกรรมยังไงยังงั้น จนวันหนึ่งที่ฉันต้องย้ายแผนกจาก ER มาอยู่ฝ่ายเวชปฎิบัติฯ และถูกชักชวนโดยหัวหน้าและพี่นิตยาให้มารักจักกับ โครงการ SHA
ฉันอาสามาเป็นตัวแทนของโรงพยาบาลเพื่อเข้าเรียนเรื่องของการเขียนเรื่องเล่า ( Narrative Medicine ) ด้วยเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรกคือ ว่าง เพราะฉันยังไม่มครอบครัว อย่างที่สองคือ อยากไปเที่ยวนครปฐม อย่างที่สาม คืออยากได้ประสบการณ์การเรียนรู้และเพื่อนใหม่ อย่างที่สี่คือ อยากสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเองเพราะฉันเป็นคนที่เขียนอะไรไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ ก่อนเดินทางพี่ ๆ หลายคนพูดกรอกหูฉันว่าอาจารย์โกมาตรเก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ จนฉันอยากเห็นอาจารย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ตัวเป็น ๆ บุคคลที่เป็นเซียนเรื่องเล่าขั้นเทพ เท่าที่ทราบจังหวัดศรีสะเกษมีตัวแทนอยู่ 2 โรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลโนนคูณ และโรงพยาบาลอุทุมพร ถึงแม้ว่าการเดินทางไปเรียนรู้เทคนิคการเขียนเรื่องเล่าในครั้งนี้ฉันจะไม่ได้พักกับพี่โบว์ ที่เป็นคนมาจากจังหวัดเดียวกัน แต่ก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้และได้เพื่อนใหม่ แม้อายุจะต่างกัน อยู่กันคนละภาค คนละจังหวัดก็ยังสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้เป็นอย่างดี ขอบคุณพี่นางที่มอบมิตรภาพดีให้กันตลอดระยะเวลา 4 วัน 3 คืนที่ผ่านมา
คืนแรกที่พบกันทุกคนต่างเคอะเขินไม่กล้าพูดคุยกันซะเท่าไหร่ แต่พออาจารย์ให้ทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมทุกคนได้พูดคุยกันมากขึ้น ความคุ้นเคยก็เลยเกิดขึ้นกับพวกเราแบบไม่รู้ตัว ทุกอย่างจบลงด้วยการแยกย้ายไปพักผ่อนด้วยเวลา 22.00 น
วันที่หนึ่งของการเรียนทุกคนถูกแบ่งกลุ่มให้ศึกษาเรียนรู้เทคนิคการเขียนเรื่องพร้อมแนะนำอาจารย์วิทยากรประจำกลุ่ม ฉันเลยมีโอกาสได้พบอาจารย์และพี่ๆ อีกหลายคนทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสามารถและพร้อมรับเทคนิคต่าง ๆ ที่อาจารย์สอนให้ พี่แต้วคุณแม่ผู้รักลูก เภสัชนุ๊กกับการเยี่ยมบ้านผู้ป่วยเบาหวาน สาวแกร่งแห่งอีสานผู้ประสานกับสิงห์ดำและเหล่าเสือทั้งจังหวัดด้วยเรื่องราวของการแก้ปัญหาเยาวชนติดยาเสพติด พี่ษาแห่งหลังคาแดง หมอแอนนี่ผู้เป็นที่มาของคำว่า "ใครว่าหมอไม่ต้องซ่อม" และสุดท้ายคุณหมอหนุ่มหล่อหนึ่งเดียวของกลุ่มที่มาพร้อมกับรอยยิ้มตลอดเวลา และวันนี้ก็จบลงด้วยเวลา 21.30 น.
วันที่สองของการเรียนฉันตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่เพราะตั้งใจว่าจะมาใส่บาตร แสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านใบไม้ อากาศที่เย็นสบาย ความเงียบสงบที่ไร้เสียงรถยนต์ ไม่มีแม้แต่กลิ่นของควันรถ มีเพียงเสียงร้องของจิ้งหรีดและเรไร เพียงแค่ฉันหลับตาสิ่งที่ฉันได้ยิน บรรยากาศที่ฉันได้สัมผัส ฉันจิตนาการว่าต้องเป็นบ้านริมคลอง มีทุ่งนาและต้นข้าวอย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงคือตอนนี้ฉันอยู่ที่โรสการ์เด้นริเวอรืไซด์ จังหวัดนครปฐม และสิ่งที่น่าแปลกใจของฉันคือที่นี่มีแบบที่ฉันจินตนาการเอาไว้จริง ๆ จากคำบอกเล่าของพนักงานเขาบอกว่าที่นี่ทำนาและปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู เอาไว้ทำอาหารเอง โดยเฉพาะอาหารที่ใช้ต้อนรับแขกของที่นี่ส่วนใหญ่มาจากเกตรภายในสวนนี้ทั้งสิ้น ต้นไม้หลายต้นที่พวกเราเห็นเป็นต้นไม้ดั้งเดิมจากเจ้าของที่คนเก่า หลายอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก มีเพียงห้องพักเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น ฉันได้มีโอกาสเดินไปไหว้ต้นพิกุลทองที่พนักงานของที่นี่บอกว่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ คนที่นี่เคารพและบูชากราบไหว้ ขอพร ขอให้ท่านช่วยปกปักษ์รักษาและคุ้มครอง ในฐานะที่ฉันเป็นคนต่างถิ่นจึงอยากกราบไหว้และขอให้ท่าช่วยคุ้มครองเช่นกันจึงได้มีโอกาสชื่นชมความงามของต้นพิกุลทอง
( ความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะค่ะ )
หลังจากที่ไปกราบไหว้ขอพรเสร็จฉันก็ไปใส่บาตรที่ศาลาริมน้ำ เป็นครั้งแรกที่ฉันไหนพระมาบิณฑบาตรด้วยการพายเรือ เพราะที่ศรีสะเกษพระจะเดินมาบิณฑบาตร เลยทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี และการใส่บาตรครั้งนี้ทำให้ฉันได้เห็นว่ามีแขกที่มาพักที่นี่หลายคนมากมาร่วมกันทำบุญใส่บาตร ไม่เว้นแม้แต่พนักงานของที่นี่เองก็ยังมา หลังจากที่ใส่บาตรเสร็จทุกคนก็ต้องไปเข้าห้องเพื่อเรียนต่อ ฉันนึกชมคนจัดในใจว่าช่างสรรหาที่ประชุมที่ได้บรรยายกาศแบบท้องทุ่ง สีเขียวชอุ่ม มีแม่น้ำไหลผ่านเย็นสบายตา ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหารถติด ควันรถยนต์ ผู้คนพลุกพล่าน หรือแม้กระทั้งเสียงพูดคุยจอแจของคนทั่วไป จะมีก็แต่เสียงของกลุ่มฉันที่คุยกันเท่านั้น บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวและที่สำคัญผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้ในครั้งนี้มีโอกาสที่จะหลบไปเที่ยว ทำธุระ หรือซื้อของฝากได้น้อยมากเพราะอยู่ไกลจากถนนหลักประมาณ 3-4 กม. หากไม่มีรถสวนตัวคงเป็นเรืองยากที่จะเดินทางออกจากที่พักได้ และอีกอย่างทุกวันเริ่มเรียน 08.30 น. เลิกเรียนก็ประมาณ 21.00 - 22.00 น และวันนี้ก็เช่นกันทุกอย่างจบลงเมื่อเวลา 22.00 น.พร้อมการบ้านให้ทุกคนเขียนเรื่องราวที่รู้สึกประทับใจหรือเรื่องราวที่อยากบอกเล่าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง แล้วนำมาเสนอพรุ่งนี้เช้า บางคนเขานั่งทำการบ้านต่อที่ห้องประชุมถึงเที่ยงคืนก็มี บางคนก็กลับไปทำต่อที่ห้องพัก ดูเหมือนเป็นการเรียนที่มีหัวข้อง่าย ๆ แต่ทำมันทุกคนจึงจริงจังและเครียดกับมันไม่เว้นแม้แต่ฉัน เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่คนชอบเขียนอยู่แล้วและอีกอย่างการมาในครั้งนี้ก็ไม่ได้เตรียมเรื่องอะไรมานำเสนอด้วย เลยต้องคิดหนักทั้งคืน สุดท้ายก็ตัดสินใจนำเรื่องราวของลุงสุขสันต์ ผู้ชายที่หวังเพียงแค่ใครสักคนที่เข้าใจชีวิตเขาให้เพื่อน ๆ และอาจารย์ได้ฟัง
วันสุดท้ายของการเรียนเริ่มต้นด้วยเวลา 08.00 น. ทุกคนในกลุ่มนำเรื่องที่ตัวเองเตรียมมาทั้งคืนเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง แล้วให้ทุกคนวิจารณ์ เพราะการเขียนที่ดีต้องผ่านการวิจารณ์เพื่อหาข้อบกพร่องไปแก้ไขให้เกิดความสมบูรณ์ที่สุดของเรื่องเล่า ทำให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับภาษา การใช้คำ และซึมซับในสิ่งที่เพื่อนเล่า บางครั้งมีรอยยิ้ม บางครั้งลุ้นระทึก บางครั้งได้คำตอบจากสิ่งที่ค้นหา และสุดท้ายได้พบตัวตนของแต่ละคน พอเล่าเสร็จหมดทุกคนอาจารย์ให้เลือกเรื่องเพียง 1 เรื่องเพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มเล่าเรื่องราวให้ทั้งห้องฟัง กลุ่มฉันตัดสินใจเลือกเรื่องของหมอแอนนี่ "ใครว่าหมอไม่ต้องซ่อม" ชั่วขณะที่ทุกคนฟังหมอแอนนี่เล่าอยู่นั้นทุกคนต่างตกอยู่ในพวัง ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ทุกคนตั้งใจฟังมาก ไม่เพียงแต่เรื่องของหมอแอนนี่เท่านั้น เรื่องจากตัวแทนทุกกลุ่มต่างก็น่าฟังทั้งสื้น ไม่ว่าจะเป็น "การเดินางสู่เรื่องเล่า" ของต่ายผู้ให้คำนิยามของคำว่าไกลโคตร ๆ ได้ตรงประเด็นที่สุด
"เกือบจะสาย (ลุงสุพจน์)" จากตัวแทนของกลุ่ม 9
" หน้าที่ของแพทย์ " จากหมอสุนทรผู้เขียนถึงอาจารย์แพทย์ของตัวเอง
" ผู้ป่วยเอดส์พยายามฆ่าตัวตาย " จากเภสัชกรอภิสิทธิ์ ที่มีดีกรีความหล่อไม่แพ้ท่านนายกคนปัจจุบันของเมืองไทย
" คดีหมอสุรพล " จากพี่ต๋อง ที่เปิดฉากได้ตื่นเต้นเร้าใจ ราวกับนั่งฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินในศาล
" เสื้อแดงตัวจิ๋วกับตู้ใบใหม่ " ของเจี๊ยบสาวร่างท้วมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม การเปิดฉากที่น่าตกใจราวกับฟังละครผีสิง ที่เป็นเทคนิคของผู้เล่าก่อนเปิดฉากเข้าไปสู่เรื่องราวที่ทำให้คนฟังรู้สึกหัวใจพองโตไปกับผู้เล่า
" เกาะเมียกิน " จากหมอธี บ้านไผ่
สุดท้ายและท้ายสุดของการเรียนในครั้งนี้ ถึงแม้ฉันจะไม่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวของตนเองให้เพื่อน ๆ ในห้องฟัง แต่ฉันก้ไม่เสียใจเพราะฉันได้ในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการเล่าในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้มากนัก มันสามารถตอบทุกความต้องการเมื่อครั้งแรกที่ฉันตัดสินใจมาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ เพื่อนใหม่ เทคนิคการเรียนรู้จากเพื่อน ๆ และอาจารย์ และเห็นคนที่ว่าขั้นเทพนั้นเป็นอย่างไร คนที่สามารถเป็นวิทยากรเพียงคนเดียว พูดคนเดียวตลอด 4 วัน 3 คืนได้โดยไม่เห็นความเหน็ดเหนื่อย วันแรกน้ำเสียงเป็นยังไง นาทีสุดท้ายก็ยังคงเป็นยังงั้น แม้กระทั่งรอยยิ้มที่เห็นฟันทุกซี่ ตาหยี๋เล็ก ก็ยังเห็นเหมือนเดิม ไม่รู้จะขอบคุณใครหรืออะไรดีที่ทำให้วันนี้เราทุกคนได้มีโอกาสมาร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ว่าจะเป้นเวรกรรมหรือบุญพาวาสนาส่งจึงทำให้เราทุกคนมีวันนี้ ยังไงซะฉันก็ขอขอบคุณ ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้ฉันหยุดค้นหา " เรื่องเล่า " เพราะต่อไปนี้ฉันไม่จำเป้นต้องหามันอีกแล้ว แต่ต้องนำมันมาเล่าให้คนอื่น ๆ ที่ยังไม่รู้ได้รู้ ที่ยังไม่เห็นได้เห็น ได้เข้าใจและได้ซึมซับกับสิ่งที่ฉันจะเล่าต่อไป
สวัสดีคะ ดีใจที่ได้มาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
รออ่านเรื่องเล่านะคะ ....
ขอบคุณมากคะ
เยี่ยมมากเลยค่ะ ป้าเหมียวมานั่งฟังคุณพยาบาลเล่าซะเพลินเห็นภาพ ...แล้วนำเรื่องมาเล่าให้ป้าเหมียวฟังอีกนะคะ