ช่วงนี้มีโอกาสได้เป็นที่ปรึกษาให้กับใครหลายๆคนเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะในเรื่องจิตใจ และบาดแผลจากความรัก หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหญิงชาย เรื่องรักๆใคร่ๆ
ในโอกาสอย่างนี้การใช้ธรรมะเข้าช่วยในการให้คำปรึกษาให้ผลค่อนข้างจะดีพอสมควรทีเดียว
จากที่ผมประสบมา คนที่เข้ามาขอคำปรึกษาจะมีลักษณะที่อุปมาได้ดังนี้คือ
เปรียบเหมือนคนถูกผลักตกลงมาในกระแสน้ำเชี่ยวกรากจากน้ำท่วมเฉียบพลัน โดนพัดไปกระแทกโขดหินและอื่นๆในกระแสน้ำ และก็หมดแรงจากความพยายามที่จะออกจากกระแสน้ำ เพราะน้ำมันแรงเหลือเกิน
(ตรงนี้เปรียบได้กับ หลังจากที่เผชิญเหตุการณ์อันเลวร้าย จิตใจเหมือนตกอยู่ในห้วงทุกข์ จิตใจหมองหม่น ไม่สว่างไม่มีกำลัง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจมันมากมายเสียจน ยากที่จะดึงตัวเองออกจากความทุกข์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเจอความทุกข์แรงในช่วงแรกนั้น ย่อมเหมือนกับตกลงไปในกระแสน้ำเชี่ยวกราก ตั้งตัวไม่ติด...ในขณะเดียวกัน แม้พยายามจะออกจากห่วงทุกข์ก็ทำไม่ได้ และก็ทุกข์เพิ่มเพราะ “อยาก” ออกจากทุกข์ ...และจิตใจก็หมดแรงไปเพราะความทุกข์นี่เอง)
เราในฐานะคนช่วย ก็ไม่สามารถกระโดดลงไปในแม่น้ำได้ (เว้นแต่จะมีกำลังแบบเหลือล้น) ทำได้เพียงตะโกนบอกให้จับโขดหินไว้ หรือโยนเชือกลงไปให้จบรั้งเอาไว้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ไหลลงไปกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากนั้น ...แค่จับให้มั่นก็ทำได้ลำบากแล้ว อย่าว่าแต่ให้รั้งตัวเองและฝืนตัวข้ามกระแสน้ำมาขึ้นฝั่งเลย
(ตรงนี้ก็คือ เราเองก็ไม่สามารถไปร่วมทุกข์กับเขาได้ ถ้าเราไปร่วมทุกข์ ตกอยู่ในห้วงทุกข์ร่วมกันแล้ว ก็ยากที่จะช่วยกันพาขึ้นมาจากห่วงทุกข์ได้ ... เราทำได้แค่ เตือนสติเขา ให้เครื่องมือ ให้เขามีสติเพียงเท่านั้น ...ในช่วงเวลาที่ความทุกข์ยังไหลบ่ามา)
อย่างไรก็ดี ไม่มีน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากครั้งไหนที่จะเชี่ยวกรากตลอดเวลา สักพักน้ำจะค่อยๆอ่อนกระแสลงเองโดยธรรมชาติ ฉะนั้นเราจึงควรรั้งตัวเองเอาไว้ เพื่อรอจังหวะที่น้ำจะเบากระแสลง ในจังหวะนั้นเอง เขาอาจจะได้พักหรือพอจะมีกำลังมากขึ้น และเมื่อกระแสน้ำอ่อนแรงมากแล้ว เขาจึงสามารถฝ่ากระแสน้ำที่เบาบางลงมาขึ้นฝั่งได้
(ความทุกข์จะค่อยๆเบาบางไปตามกาลเวลาเอง หากเรามีสติอยู่กับตัว และไม่ไปคิดไปรู้สึกต่อเอง (คือคนส่วนใหญ่พอทุกข์แล้วมักจะคิดมากรู้สึกมากไปเองเพิ่มขึ้นไปอีก ปรุงแต่งเพิ่มขึ้นไปอีก) และหากประกอบกับได้ทำกิจกรรมที่ทำให้จิตมีกำลังมากขึ้น ก็จะทำให้เขามีแรงที่จะเดินขึ้นจากน้ำเองได้
การอุปมานี้ เขียนเพื่ออยากให้เข้าใจว่าเวลาคนทุกข์ใจนั้น มันไม่ใช่จะ ฮึบ! แล้วออกจากกองทุกข์ได้โดยง่าย ... แต่มันมีช่วงเวลาและเหตุปัจจัยของมันอยู่ การที่เราพยายามกดดันให้ผู้คนเข้มแข็งเวลาที่ทุกข์นั้น อาจจะดีในช่วงแรก แต่ถ้าทำบ่อยๆกลายเป็นว่า เขาจะรู้สึกว่า ทำไมฉันช่างอ่อนแออย่งานี้ ยังออกจากทุกข์ไม่ได้ และก็กลายเป็นทุกข์เพิ่ม เพราะ “อยาก” ออกจากทุกข์ แต่ “ทำไม่ได้”... ฉะนั้นต้องให้เวลาเค้าด้วย
คนให้คำปรึกษาต้องรับฟังและเข้าใจเขาอย่างที่เขาเป็น พยายามเข้าใจเหตุปัจจัยและเงื่อนไข ทั้งภายนอก และภายในจิตใจของเขาที่ทำให้เขาไปตกอยู่ในห้วงทุกข์นั้น หากเขามีเรื่องอัดอั้นก็ควรให้เขาระบายออกอย่างเต็มที่ (แต่ก็ต้องดูมิให้ระบายจนจิตใจดำดิ่งลงไปในห้วงทุกข์อีก) หลังจากนั้นเราจึงค่อยให้คำปรึกษา
โดยสรุปคือ สิ่งที่ผมแนะนำคนที่มาปรึกษาไปมี 2 อย่างคือ
เท่าที่ผ่านมาประมาณ 4-5 เคส ก็มักจะเป็นแบบนี้นะครับ และวิธีการที่บอกข้างต้นก็ดูจะพอช่วยให้เขาออกจากห้วงทุกข์ได้พอสมควร หลายคนผ่านไปได้ด้วยดีและมีชีวิตที่ดีขึ้น
จึงอยากจะนำบทเรียนที่สรุปได้มาแบ่งปันกันครับ
หากใครมความเห็นเพิ่มเติมหรือข้อติชมโปรดบอกและแบ่งปันครับ
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ กำลังเริ่มรู้สึกเหมือนจะทุกข์อยู่พอดีเลยค่ะ พอได้เข้ามาอ่านที่อาจารย์แนะนำก็รู้สึกตัวขึ้นบ้าง จะพยายามไม่ปล่อยให้อารมณ์ทุกข์มันเข้าครอบงำอีกค่ะ :)
หากพอจะช่วยได้ก็ยินดีครับ :)
สวัสดีครับ
สำนวนจีน ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ครับ
ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ ตอนนี้ยังพอไหวอยู่ค่ะ แต่ต่อไปถ้าทุกข์มันเพิ่มขึ้นก็คงจะได้ขอคำปรึกษาชี้แนะจากอาจารย์บ้างน่ะค่ะ ตอนนี้ก็ได้แต่ตามดูจิตตัวเองไปเรื่อยๆก่อน ดูซิว่ามันจะทุกข์ไปถึงไหน ถ้าหยุดได้ก็จะพยายามหาทางหยุดเจ้าตัวทุกข์นี้มันน่ะค่ะ :)
ขอบคุณบันทึกนี้ครับ
ทำให้มานั่งทบทวนบทบาทชีวิตที่ผ่านมาด้วยการนำหลักธรรมทางศาสนามากำกับพิจารณา
บางครั้งผงเข้าตาตนเองก็ต้องอาศัยผู้อื่น
ขอบคุณมากครับสำหรับคติและสติเตือนใจในวันนี้
ด้วยความยินดีครับ :)
มีประสบการณ์พอมั๊ยคะ??
เป็นที่ปรึกษาต้องมีประสบการณ์มากหน่อยนะ
....ล้อเล่นค่ะ..เห็นจากรูป..ไม่น่าจะมีประสบการณ์ชีวิตมากนัก
หุหุหุ ผมจะถือว่าเป็นคำชมว่าหน้าเด็กแล้วกันนะครับ :)
เรื่องประสบการณ์ผมว่า ก็ดูจะจำเป็น แต่ก็ไม่จำเป็นว่าคนที่มีประสบการณ์จะให้คำปรึกษาได้ดีเสมอไปนะครับ ... มันเป็นคนละทักษะกันน่ะครับ เหมือนจบปริญญาเอก ใช่ว่าจะสอนหนังสือรู้เรื่อง ...
นอกจากนี้ คนที่มีประสบการณ์มากแต่ไม่เคยทบทวนหรือเรียนรู้จากประสบการณ์เลย ก็ไม่อาจจะให้คำปรึกษาหรือแบ่งปันบทเรียนแก่คนอื่นได้ ...ในทางกลับกัน คนที่มีประสบการณ์บ้างแต่ไม่มากเท่าคนแรก แต่เรียนรู้ทุกแง่มุมของประสบการณ์ที่ตนเองมี ย่อมมีบทเรียนแบ่งปันแกคนอื่นได้มาก ... แน่นอน คนประสบการณ์มาก และหม่ันทบทวนตนเองอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้ที่จะมีบทเรียนมาแบ่งปันแก่ผู้คนจำนวนมากเป็นแน่แท้
แต่ในการให้คำปรึกษานั้น หลายครั้งผมว่า ประสบการณ์อาจจะไม่สำคัญเท่า หูที่เปิด และใจที่เปิดนะครับ บ่อยครั้งที่ประสบการณ์บดบังหูและใจ และทำให้คนมากประสบการณ์ (เช่น คนที่ (คิดว่าตนเอง) เป็นผู้ใหญ่) ตัดสินคนที่มาขอคำปรึกษาไปก่อนที่จะได้ฟังเรื่องราวจริงๆก็ได้
ผมว่าตอนนี้ผมก็พอจะมีประสบการณ์ที่จะให้คำปรึกษากับน้องๆได้พอสมควรครับ :) แต่คิดว่าคงยังไม่สามารถให้คำปรึกษาผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่ามากๆได้ :)
25ปีมาแล้วได้รับคำเตือนจากลูกชายคนโตตอนนั้นราว 4-5ขวบ บอกว่า การสูบบุหรี่มีผลกับร่างกาย.......!!!!!!! ได้ยินเข้าก็หัวเราะแก้เก้อไป จากนั้นมาก็หยุดบุหรี่ นี่ก็25ปีแล้ว
เดี๋ยวนี้เวลามีปัญหาก็ได้ลูกนี่แหละที่ให้คำแนะนำ หรือเวลาอ่านblogของลูกลูกก็มักจะได้อะไรดีดีไปใช้ฝึกตัวเองเสมอ
ชอบที่ชลบอกคือ ประสบการณ์ ไม่สำคัญเท่าการเปิดหูเปิดใจ
ถ้าคนอายุมากกกก รู้จักเปิดใจรับอะไรหลายอย่าง ก็คงดีนะ