คุณธรรมและจริยธรรมกับรูปแบบการพัฒนา
ปัญญฎา ประดิษฐบาทุกา
เมื่อกล่าวถึงคำว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” คงเป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักกันดีแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความหมายของคำ 2 คำนี้อย่างถ่องแท้จนสามารถพัฒนาตนให้เป็นคนเก่ง ดี มีสุข ได้ตามเป้าหมายสูงสุดของการศึกษาที่มุ่งหวังให้ประชาชนไทยมีพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากการที่บุคคลเป็นคนเก่งอย่างเดียวมิใช่คุณสมบัติของพลเมืองที่น่าปรารถนา เพราะการเป็นคนเก่งแต่ไร้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรมจะนำพาสังคมและประเทศชาติล่มจม ดังนั้นการพัฒนาให้เยาวชน ตลอดจนประชาชนในประเทศเป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรมสูงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งและต้องเป็นไปอย่างถูกวิธีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ประชาชนและนักวิชาการนอกสาขาจิตวิทยามักมีความสับสนระหว่างคำว่า “ค่านิยม” “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” และมักใช้ทั้ง 3 คำนี้ทดแทนกัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมไทยเป็นไปอย่างผิดทิศทาง การสับสนของความหมายทั้ง 3 คำนี้ตลอดจนใช้คำทั้ง 3 คำนี้ทดแทนกันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำทั้ง 3 คำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน คือ “ค่านิยม” หมายถึง สิ่งที่คนส่วนใหญ่ เห็นว่ามีความสำคัญจึงเลือกที่จะปฏิบัติตามความเห็นเช่นนั้น เช่น ค่านิยมที่จะต้องจบการศึกษาขั้นสูงเพราะเห็นความสำคัญของการศึกษาที่จะเป็นประตูเปิดไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ค่านิยมไทยเพราะเห็นความสำคัญของ การอนุรักษ์วัฒนธรรมและมรดกของไทย เป็นต้น “คุณธรรม” หมายถึง สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดีงามถูกต้อง โดยมากมักเกี่ยวข้องกับหลักธรรมทางศาสนา เช่น ความเสียสละ ความสามัคคี ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความมีวินัย เป็นต้น ส่วน “จริยธรรม” หมายถึง เจตนาของการกระทำหรือไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยการตัดสินใจนั้นจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อใครหรือลดผลเสียต่อใครเป็นหลัก ถ้าเอื้อประโยชน์หรือลดผลเสียแก่คนส่วนใหญ่จะแสดงถึงความมีจริยธรรมสูง การเผชิญกับการตัดสินใจในลักษณะนี้ มักปรากฏเมื่อบุคคลตกอยู่ท่ามกลาง ความขัดแย้งของคุณธรรมมากกว่า 2 ประการขึ้นไป เช่น ความขัดแย้งระหว่างความกตัญญูกับความถูกต้องยุติธรรม สอดคล้องกับงานวิจัยของพรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ ที่ศึกษาเรื่องจริยธรรม โดยศึกษาถึงความเชื่อทางจริยธรรมของคนไทยในยุคปัจจุบันพบว่า คนไทยมีความเชื่อทางจริยธรรมที่ดี รู้ว่าอะไรถูกผิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ขาดความสอดคล้องระหว่างความเชื่อกับพฤติกรรมที่เคยทำและจะทำต่อไป จึงทำให้เกิดจริยธรรมสองมาตรฐานระหว่างจริยธรรมที่กำหนดว่า อยากเห็นคนอื่นทำกับจริยธรรมของส่วนบุคคล ดังนั้นจึงเป็นการยากลำบากสำหรับบุคลในการที่จะตัดสินใจเลือก ทั้งนี้ในเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมยังมีปัจจัยอีกหลายด้านที่มีส่วนในการตัดสินใจต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมนี้มีบุคคลในแวดวงวิชาการ ตลอดจนนักวิจัยที่ได้ทำการศึกษาอย่างมากมายมาเป็นเวลานาน
จากการที่ผู้เขียนมีความสนใจศึกษาค้นคว้า ตลอดจนทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรมกับรูปแบบการพัฒนา โดยการสังเคราะห์เอกสารพบว่ามีรูปแบบการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมที่น่าสนใจมากมายซึ่งล้วนแต่ผ่านกระบวนวิจัยมาโดยทั้งสิ้น ดังเช่นรายการวิจัยเรื่อง “การศึกษารูปแบบและวิธีการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม” โดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มประชากรที่เป็นผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมโดยตรงจากหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 252 หน่วยงาน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นส่วนราชการที่เป็นกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จำนวน 141 ส่วนราชการ ในจำนวนนี้เก็บข้อมูลกลับคืนมาได้ 98 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 69.50 กลุ่มที่ 2 ส่วนจังหวัด จำนวน 76 จังหวัด ในจำนวนนี้เก็บข้อมูลกลับคืนมาได้ 47 จังหวัด คิดเป็นร้อยละ 61.84 และกลุ่มที่ 3 สถาบันการศึกษา จำนวน 35 แห่ง ในจำนวนนี้เก็บข้อมูลกลับคืนมาได้ 19 แห่ง ผลการศึกษาวิจัยพบว่า รูปแบบที่ใช้พัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมในหน่วยงานมากที่สุด ได้แก่ รูปแบบที่ปรับเปลี่ยนไปตาม ความเหมาะสมและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รองลงมา ได้แก่ รูปแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลงและใช้รูปแบบที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนวิธีการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมในหน่วยงาน พบว่า ใช้วิธีการฝึกอบรมมากที่สุด รองลงมาตามลำดับได้แก่ วิธีการบรรยายพิเศษ การสัมมนา การจัดทัศนศึกษาดูงานและวิธีการใช้กิจกรรมกลุ่ม วิธีการที่ใช้น้อยที่สุดคือ แข่งขันตอบปัญหา รองลงมา ได้แก่ การเลือกตัวอย่าง การสาธิต การประกวดคำขวัญและการอภิปราย นอกจากนี้ยังพบอีกว่า วิธีการที่ใช้พัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมอื่น ๆ ได้แก่ การหาสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ เทป (แถบเสียง) วีดีโอ (แถบภาพ) มาให้บริการ ตลอดจนการช่วยแก้ปัญหาและการให้คำปรึกษาแนะนำเป็นรายบุคคล อีกทั้งยังใช้วิธีการสร้างคำขวัญร่วมกันทั้งหน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่า การจัดเนื้อหาในการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมมีลักษณะการจัดเป็นหัวข้อเสริมในหลักสูตรมากที่สุด เวลาที่ใช้ในการพัฒนาแต่ละครั้งใช้เวลา 3 ชั่วโมงเป็นส่วนมาก การพัฒนานั้นมีกลุ่มเป้าหมายเป็นข้าราชการ มากที่สุด มีลักษณะการพัฒนาที่พบมากเป็นแบบต่อเนื่องทุกปี ในปีหนึ่ง ๆ มีการพัฒนาจำนวน 3 ครั้งมากที่สุด และจากที่ผ่านมามีจำนวนผู้เข้ารับการพัฒนาจำนวนมากที่สุดถึง 3,000 คน และในการพัฒนาได้ประสบผลสำเร็จระดับร้อยละ 80 มากที่สุด การพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่ข้าราชการเป็นส่วนมาก และรองลงมา ได้แก่ การพัฒนาทำตามเป้าหมายที่ต้องการตอบสนองต่อนโยบายของหน่วยงาน ข้อคุณธรรมที่สำคัญและได้มุ่งทำการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ความรับผิดชอบ รองลงมา ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความสำนึกในหน้าที่ ความเสียสละและสุจริตในหน้าที่ จากที่ผ่านมาพบว่า ข้อคุณธรรมที่สามารถพัฒนาได้สัมฤทธิ์ผลดีมาก ได้แก่ ความรับผิดชอบ รองลงมา ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความสำนึกในหน้าที่ ความสามัคคี ความมีเหตุมีผลและความเสียสละ โดยใช้วิธีการพัฒนาในรูปแบบของการจัดหลักสูตรฝึกอบรมมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ วิธีการจัดการบรรยาย วิธีการทำกิจกรรมร่วมกัน ตามลำดับ และพบว่าวิธีการประเมินผลใช้วิธีการสังเกตขณะดำเนินการพัฒนามากที่สุด และจาการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมที่ผ่านมาได้ปรากฏผลสำเร็จ คือ ข้าราชการเกิดความสามัคคีกัน ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกันทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ข้าราชการมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากขึ้นทั้งในการทำงาน ครอบครัวและสังคม นอกจากนั้นเป็นความสำเร็จในเรื่องอื่น ๆ สำหรับในเรื่องของจุดอ่อนหรือปัญหาที่ทำให้การพัฒนาไม่ได้ผล พบว่า เกิดจากการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทำได้กับบุคคลเป็นบางส่วนซึ่งเป็นส่วนน้อย โดยส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฝึกอบรมพัฒนาเนื่องมาจากมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณ เจ้าหน้าที่และสถานที่ไม่พร้อม เป็นต้น ทั้งนี้ได้พบว่า วิธีการแก้ปัญหาอุปสรรคการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมควรมีการพัฒนาอย่างจริงจัง เน้นความเป็นระบบและทำด้วยความต่อเนื่อง นอกจากนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาอุปสรรคลักษณะอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป
ส่วนรายงานการวิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมนิสิตนักศึกษา” พบว่า การพัฒนานิสิตนักศึกษาด้านคุณธรรม จริยธรรม ประเด็นทางคุณธรรม จริยธรรมที่ควรนำมาใช้ในการพัฒนานิสิตนักศึกษา ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรอบคอบ การมีวินัยในตนเอง คุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ความมุ่งมั่นพากเพียรและพยายาม (ความอดทน อุตสาหะ) จิตใจของความเป็นผู้ให้ ความรับผิดชอบ จิตใจที่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและจรรยาบรรณวิชาชีพ และเมื่อนำประเด็นต่าง ๆ มาสังเคราะห์เป็นแนวคิดในการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์แก่นิสิตนักศึกษา ควรกำหนด ทิศทางการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมแก่นิสิตนักศึกษา ดังนี้ อันดับหนึ่งคือ จริยธรรมเพื่อการทำงานและการประกอบอาชีพ ได้แก่ มุ่งเน้นในเรื่องคุณธรรมในการทำงานและคุณธรรม จริยธรรมตามกรอบวิชาชีพ หรือที่เรียกว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ อันดับสองคือ จริยธรรมในการดำรงชีวิต ได้แก่ มุ่งเน้นในเรื่องการเสริมความสามารถในการจัดระเบียบชีวิต การมีความมุ่งมั่นพากเพียร ความรับผิดชอบต่อตนเอง การมีค่านิยมการเรียนรู้ การมีค่านิยมพอเพียง เรียนรู้ตลอดชีวิตและการเห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และอันดับสามคือ จริยธรรมที่มีต่อส่วนรวม ได้แก่ มุ่งเน้นในเรื่องการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม จิตใจแห่งการเสียสละและจิตใจของความเป็นผู้ให้ ส่วนลักษณะรูปแบบกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมแก่นิสิตนักศึกษา ได้แก่ การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะทางจริยธรรมโดยเฉพาะกิจกรรมที่หลากหลายในโครงการเดียว เพื่อสร้างเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เช่น กิจกรรมสร้างเสริมคุณลักษณะกตัญญูกตเวที เป็นต้น การจัดกิจกรรมสร้างเสริมจิตสำนึกต่อสถาบัน เช่น กิจกรรมรำลึกผู้ก่อตั้งสถาบัน เป็นต้น การจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้นิสิตนักศึกษามีคุณธรรม การจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมที่ดีในตึกพักหรือหอพัก การจัดโครงการกิจกรรมโดยมีนิสิตนักศึกษาจากหลากหลายสาขาวิชาดำเนินกิจกรรมด้านบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน การจัดกิจกรรมที่ทำให้นิสิตนักศึกษาได้เพิ่มพูนทักษะเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบอย่างชีวิตของบุคคลที่สังคมยกย่อง การจัดกิจกรรมซึ่งส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาคิดวิเคราะห์ และการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้รับรู้สถานการณ์หนึ่งอันจะก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์จริง
รายงานการวิจัยเรื่องสุดท้ายที่จะนำเสนอ คือ เรื่อง “รูปแบบ ยุทธศาสตร์และแนวทาง การบูรณาการศาสนากับการศึกษาของวัดในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาตามอัธยาศัย" โดยทำการสังเคราะห์ผลการวิจัยกรณีศึกษาการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยของวัด จำนวน 23 วัด ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบกิจกรรมที่จัด ได้แก่ การจัดสภาพแวดล้อมของวัดให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ การจัดศาสนพิธี พิธีกรรม กิจกรรมการผลิตสื่อ การจัดตั้งห้องสมุด และแหล่งการเรียนรู้แบบต่าง ๆ การจัดกิจกรรมเชิงวิชาการ การจัดตั้งเครือข่ายและวัดอาสา ประเภทของสื่อที่ใช้ได้แก่ สื่อบุคคล สื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อเคลื่อนที่หรือ สื่อกลางแจ้ง สื่อพื้นบ้านหรือสื่อประเพณีและสื่อชุมชนหรือสื่อท้องถิ่น ส่วนยุทธศาสตร์การบริหารการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยของวัดให้ประสบผลสำเร็จ มีองค์ประกอบทางการบริหารที่สำคัญคือ ระบบและรูปแบบการบริหาร เจ้าอาวาส บุคลากร พระสงฆ์ สามเณรและฆราวาส งบประมาณ เทคโนโลยี เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ สภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน ส่วนแนวทางการบูรณาการการศาสนากับการศึกษาตามอัธยาศัยของวัดเน้นแนวคิดหลัก “บวร” การบูรณาการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษา ภูมิปัญญาไทย อาชีพกับวิถีชีวิต เป็นองค์รวมความสัมพันธ์ในลักษณะการพึ่งพาซึ่งกัน และกัน การสร้างความร่วมมือและเครือข่าย ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยของวัดเน้นการบริหารจัดการ ผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ รูปแบบกิจกรรม สื่อ องค์กร และการบูรณาการศาสนากับการศึกษา
จากการนำเสนอรายงานการวิจัยทั้ง 3 เรื่องจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสถาบันข้าราชการ สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนาต่างให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรม จริยธรรมกับการพัฒนาทั้งสิ้น โดยมีรูปแบบคล้ายคลึงกันเป็นส่วนมาก ซึ่งสถาบันเหล่านี้มุ่งเน้นการตอบสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ที่กล่าวถึง การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และมาตรา 23 กล่าวถึง การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม และมาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา และตอบสนองต่อแผนการแผนการศึกษาแห่งชาติ พศ.2545-2559 ที่กำหนดวัตถุประสงค์ไว้สามประการคือ การพัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดุล สร้างสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญาและการเรียนรู้และพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคม ตลอดจนตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 พ.ศ.2550-2554 ในยุทธศาสตร์ที่ 1 คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนและสังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ที่กำหนดไว้เพื่อการพัฒนาคนให้มีคุณธรรมนำความรู้ เกิดภูมิคุ้มกัน เพื่อการเสริมสร้างสุขภาวะคนไทยให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ มีความสัมพันธ์ทางสังคมและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ และเพื่อ การเสริมสร้างคนไทยให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข
จากที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้น คุณธรรมและจริยธรรมกับรูปแบบการพัฒนาเป็นสิ่งที่สำคัญและควรมีการส่งเสริมอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของเยาวชน ตลอดจนประชาชนในประเทศเพื่อให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อการเสริมสร้างสังคมให้ยั่งยืนต่อไป
หมายเหตุ ส่วนหนึ่งของการวิจัย ในส่วนของการสังเคราะห์ และลงครุจันทรสาร
เป็นงานวิจัยที่มีคุณค่ามากครับ