ทรงพบพระเจ้าพิมพิสาร
หลังบรรพชาแล้ว พระองค์เสด็จไปสู่อนุปิยอัมพวัน แขวงมัลลชนบท ผ่านไป ๗ วัน จึงเสด็จเข้าเขตมคธชนบท ได้เสด็จผ่านกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แคว้นมคธได้เสด็จมาพบตรัสถามถึงชาติสกุล ตรัสชวนให้อยู่จะพระราชทานอิสริยยศยกย่อง (ยินดีแบ่งราชสมบัติให้ปกครอง) พระองค์ไม่ทรงรับ แสดงพระประสงค์ว่ามุ่งจะแสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุโมทนา แล้วตรัสขอปฏิญญาว่า “ หากตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จมาเทศนาโปรดพระองค์ด้วย” พระองค์ทรงรับปฏิญญาของพระเจ้าพิมพิสารทุกประการ
ทรงศึกษาในสำนักต่างๆ
ระหว่างนั้นเสด็จไปศึกษาอยู่ในสำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร ได้ฌานสมาบัติ ๗* และอุททกดาบส รามบุตร ได้ฌานสมาบัติ ๘** แต่เห็นว่าไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ จึงเสด็จออกจากสำนักทั้งสอง จาริกไปในมคธชนบทถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา
วาระแรก ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา
วาระที่สอง ทรงผ่อนกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ
วาระที่สาม ทรงอดพระกระยาหาร ผ่อนเสวยแต่วันละน้อยจนพระวรกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย
ขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่นั้น มีปัญจวัคคีย์ คือโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ คอยเฝ้าปรณนิบัติทุกเช้าค่ำ ด้วยหวังว่า หากพระองค์ได้บรรลุธรรมแล้วจักทรงสั่งสอนพวกตนให้บรรลุธรรมนั้นบ้าง
อุปมา ๓ ข้อ ปรากฏแจ่มแจ้งแก่พระองค์
พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยานานถึง ๖ ปี ก็มิได้บรรลุพระสัมมา-สัมโพธิญาณ ครั้งนั้น อุปมา ๓ ข้อ ที่พระมหาบุรุษไม่เคยทรงสดับ มาปรากฏแจ่มแจ้งแก่พระองค์ว่า
๑. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กายยังไม่หลีกออกจากวัตถุกาม ใจก็ยังระคนด้วยกิเลสกาม แม้ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนเพราะการทำความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ย่อมไม่อาจตรัสรู้ได้ เหมือนไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง ทั้งแช่อยู่ในน้ำ ใครก็ไม่อาจนำมาสีกันเพื่อให้เกิดไฟได้ ย่อมเหน็ดเหนื่อยเปล่า
๒. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มีกายหลีกออกจากวัตถุกามแล้ว แต่ใจยังระคนด้วยกิเลสกามอยู่ แม้ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนเพราะการทำความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ย่อมไม่อาจตรัสรู้ได้ เหมือนไม้สดอันชุ่มด้วยยาง แม้วางบนบก ใครก็ไม่อาจนำมาสีกันเพื่อให้เกิดไฟได้ ย่อมเหน็ดเหนื่อยเปล่า
๓. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด มีกายหลีกออกจากวัตถุกามแล้ว ทั้งใจก็ไม่ระคนอยู่ด้วยกิเลสกาม แม้ได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อนเพราะการทำความเพียรก็ดี ไม่ได้เสวยก็ดี ย่อมสามารถที่จะตรัสรู้ได้ เหมือนไม้แห้งสนิท ทั้งวางไว้บนบกไกลจากน้ำ บุคคลย่อมสีให้เกิดไฟขึ้นได้
ทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา
พระองค์จึงทรงสันนิษฐานว่าการบำเพ็ญทุกกรกิริยาไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงทรงเลิกเสีย กลับมาเสวยพระกระยาหารตามปกติ ปัญจวัคคีย์เห็นเช่นนั้นก็คิดว่า พระองค์ได้คลายความเพียร กลับมาเป็นคนมักมากเสียแล้ว คงไม่อาจบรรลุธรรมวิเศษอย่างใดเป็นแน่ จึงพากันหนีไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
เหตุการณ์วันตรัสรู้
เวลาเช้า นางสุชาดา บุตรีกุฎุมพีแห่งบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ถวายข้าวมธุปายาส (ข้าวสุกหุงด้วยน้ำนมโค) พระองค์ทรงรับข้าวมธุปายาสพร้อมทั้งถาด เสด็จสู่ท่าแม่น้ำเนรัญชรา เสวยข้าวมธุปายาสหมดแล้ว ทรงลอยถาดที่แม่น้ำเนรัญชรา อธิษฐานการตรัสรู้ธรรม จากนั้นเสด็จไปประทับอยู่ในดงไม้สาละ
เวลาเย็นเสด็จไปสู่ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ จากโสตถิยพราหมณ์ ทรงปูต่างบัลลังก์ใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ทางทิศตะวันออก เสด็จนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก อธิษฐานในพระหฤทัยว่า “หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จักไม่ลุกขึ้น แม้เนื้อและโลหิตจะเหือดแห้ง เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตาม”
พระยามารยกพลเสนามารมาแสดงฤทธิ์เพื่อต้องการให้พระมหาบุรุษตกใจกลัวและเสด็จหนีไป พระมหาบุรุษเสี่ยงพระบารมี ๑๐ ทัศ* เข้าช่วย ยังพระยามารและเสนามารให้ปราชัย ก่อนพระอาทิตย์อัสดง
จากนั้นพระองค์ก็เริ่มทำความเพียรทางจิตจนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันนั้น ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๕ ปี ที่ใต้ร่มไม้ “อัสสัตถพฤกษ์”** ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (คือ พุทธคยา ในปัจจุบัน)
ญาณ ๓ ที่พระองค์ได้บรรลุในวันตรัสรู้
ปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือพระญาณที่ทำให้ระลึกอดีตชาติของพระองค์ได้
มัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุญาณ คือพระญาณที่ทำให้รู้จุติ(เคลื่อนที่, ตาย)และอุบัติ(เกิด)ของสัตว์ทั้งหลาย
ปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือพระญาณที่ทำให้พระองค์ทรงสามารถทำลายกิเลสาสวะให้สิ้นไป ได้แก่ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ นั่นเอง
พระนามพิเศษหลังตรัสรู้
อะระหัง เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากอาสวะกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง
อะระหังและสัมมาสัมพุทโธ สองบทนี้เป็นพระนามใหม่ของพระองค์ มิได้มีใครตั้งให้ แต่เป็นเนมิตกนาม คือนามที่เกิดขึ้นตามเหตุแห่งลักษณะและคุณสมบัติ
* สมาบัติ ๗ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน
วิญญาณัญจายตนฌาน และอากิญจัญญายตนฌาน
** สมาบัติ ๘ ก็คือเพิ่มจากสมาบัติ ๗ อีกหนึ่ง ได้แก่ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
* พระบารมี ๑๐ ทัศ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
** ต้นโพธิ์ หรือพระศรีมหาโพธิ์ หมายถึง ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้
นมัสการพระคุณเจ้า
มาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในพุทธประวัติเจ้าค่ะ