สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนเชื่อว่าด้วยวัฒนธรรมการเรียนรู้ใหม่ บรรยากาศการเรียนรู้ใหม่ และกระบวนการเรียนรู้ใหม่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในท้องถิ่นที่มีโครงการมหาวิทยาลัยชีวิตเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นทั้งในชีวิตส่วนบุคคล ครอบครัว และชุมชน
สิ่งที่ผู้เรียนได้จากโครงการมหาวิทยาลัยชีวิตมีดังนี้
๑. ได้ความสุข เรียนแล้วมีความสุข ไม่เครียด สนุก เพราะเรียนแบบธรรมชาติ เรียนจากสิ่งที่ปฏิบัติในชีวิตจริง ตามหลักการจัดการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ หรือที่ในวงการวิชาการศึกษาผู้ใหญ่เรียก Andragogy (คำ andr- แปลว่า ผู้ใหญ่) ไม่ใช่ Pedagogy หรือที่เรียกกันในบ้านเราว่า “ครุศาสตร์” (คำ Ped- แปลว่า เด็ก) สถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากมีหลักสูตรสำหรับผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว แต่จัดการเรียนการสอนแบบเดียวกับที่จัดสำหรับนักศึกษาปกติ (ที่เพิ่งจบมัธยมศึกษา) ใช้หนังสือและสื่อการสอนชุดเดียวกัน (ทั้งยังเอาวิชาเป็นตัวตั้งแบบเดียวกัน)
โครงการมหาวิทยาลัยชีวิตให้ความสำคัญไม่เพียงแต่การแก้ปัญหาปัจจัยการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานของผู้เรียน อาทิ การงาน การเงิน สุขภาพ (วิชาการวางเป้าหมายและแผนชีวิตเป็นวิชาแรกในกลุ่มวิชาศึกษาทั่วไปที่ทุกคนต้องเรียน) แต่ยังให้ความสำคัญกับ “การรู้จักตนเอง” โดยบรรจุวิชาการรู้จักตนเองไว้ในวิชาศึกษาทั่วไปให้ทุกคนต้องเรียนในภาคเรียนที่สองของปีแรก เพื่อให้ทุกคนที่เริ่มเห็นแนวทางแก้ปัญหาพื้นฐานทางวัตถุและทางกายภาพแล้ว ได้กลับมาพิจารณา “ชีวิตด้านใน” ของตนเอง (กิเลสของตน) อันจะนำไปสู่การพัฒนาด้านคุณธรรม ให้เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น” ตามศักยภาพของแต่ละคน
ในวิชาที่เกี่ยวกับชุมชนก็ให้ผู้เรียนได้พิจารณาทุกข์หรือปัญหาของสังคม เข้าใจเหตุแห่งทุกข์ เกิดมโนภาพของความพ้นทุกข์ (ความพอเพียง ทางสายกลาง กระบวนทัศน์พัฒนายั่งยืน) และเกิดปัญญาค้นพบแนวทางที่จะร่วมกันปฏิบัติเพื่อการพ้นจากทุกข์หรือปัญหาของชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
๒. ได้ความรู้จริง จากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้ความรู้มือหนึ่งที่ตนและกลุ่มสร้างเอง (tacit knowledge)
๓. ได้เพื่อน การได้มาเรียนในโครงการนี้ทำให้ผู้เรียนได้พบ ได้รู้จัก และได้เครือข่ายในท้องถิ่น ในจังหวัด ในประเทศ
๔. ได้กินได้ใช้ เรียนแล้วได้กินใช้ได้เลย เช่นในวิชาเศรษฐกิจพอเพียง (และวิชาการวางเป้าหมายแผนชีวิต) ทุกคนต้องกลับไปสำรวจตู้เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และของใช้อื่นๆ ว่ามีพอประมาณตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ และตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร เช่น หากคนเดียวมีเสื้อผ้าถึง ๒ ตู้ จะทำอย่างไร จะสะสางอย่างไร จะต้องบริจาคหนึ่งตัวทุกครั้งที่ซื้อใหม่ได้หรือไม่ อย่างไร จะทำกินทำใช้ในครอบครัวให้ได้สักหนึ่งในสี่ตามที่ในหลวงตรัสอย่างไร อะไรที่สามารถลงมือทำได้ทันที เช่น การสร้างสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือกันเองโดยการตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ในศูนย์เรียนรู้ (การสร้างภูมิคุ้มกัน) การปลูกพืชผักสวนครัว ที่นอกจากลดรายจ่ายแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพ
นักศึกษาในโครงการมหาวิทยาลัยชีวิต“ทุกคน”ลดการกินผักตลาด
โดยปลูกผักสวนครัว
๕. ได้ขายได้เงิน เมื่อจัดการเป็นก็จะมีรายได้ด้วย เช่น การทำวิสาหกิจชุมชน
ผลผลิตของนักศึกษาศูนย์เรียนรู้ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
๖. ได้ความคิด เรียนแล้วคิดเป็น คิดเป็นระบบ วิเคราะห์(แยกแยะ)ได้ สังเคราะห์(เชื่อมโยง)ได้
๗. ได้วิธีการเรียนรู้ ที่สำคัญคือการสามารถสร้างความรู้ใหม่ ที่เป็นความรู้มือหนึ่ง ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตด้วยความมั่นใจ ทำอะไรด้วยความรู้ด้วยปัญญา
๘. ได้แรงบันดาลใจ ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนทุกคนได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นมา ซึ่งเป็นพลังปัญญา นำพาชีวิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชนท้องถิ่นให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจและมั่นคง
นักศึกษาที่สำเร็จจากสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนเมื่อได้สิ่งต่างๆ ทั้ง ๘ ประการที่กล่าวมาแล้ว จะสามารถเป็นผู้นำตนเอง นำครอบครัว และนำชุมชนท้องถิ่นไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้.
สวัสดีครับ
ได้ยินชื่อ"มหาวิทยาลัยชีวิต" มานานพอสมควร แต่ก็ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของ "ม.ชีวิต" เสียที
มีคนรู้จักหลายคน กล่าวถึง ม.ชีวิต ก็สนใจ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองบ้าง
เพราะ"อยากเรียนต่อ..แต่ยังไม่พอมีทุน.."
ขอบคุณครับ
เรียน ดร.เสรี เคารพกระได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันพุทธที่9 มีนาคม 54 รู้สึกดีมากกระผมอยากเรียนแต่ไม่รู้ว่าที่สุรินทร์มีสาขาหรือเปล่าครับถ้ามีกระผมจะเรียนทันหรือมัยครับกระผมขอความอนุเคราะห์รายละเอียดด้วยครับตามที่อยู่ต่อไปนี้ 161 ม.9 บ้านแสนสุข ต.แสลงพันธ์ อ. เมือง จ.สุรินทร์ 32000